ตอนที่ 2 บันไดดิน【2】
อาจจะเพราะได้กินอาหารที่ดีกว่าแต่ก่อนและครบสามมื้อ อีกทั้งไม่ต้องกังวลถึงความเจ็บป่วย ทำให้ตอนนี้ร่างกายของเด็กน้อยเริ่มมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นมากแล้ว ไม่เหมือนเมื่อครั้งยังป่วยอยู่ที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก
“เป็นเช่นไรบ้างอาเทา ชาวบ้านคุยด้วยง่ายหรือไม่” นางหูเอ่ยถามบุตรชายหลังจากที่กินมื้อกลางวันกันเสร็จแล้ว
“นั่นสิเจ้าคะท่านพี่ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน” หลี่อ้ายเอ่ยถามย้ำอีกคน
“ชาวบ้านพูดคุยได้ด้วยดีท่านแม่ น้องหญิง ในวันนี้พวกเรายังช่วยกันทำบันไดดินเพื่อลงไปเก็บต้นหญ้าหวานด้วย น้องหญิงจำทางลาดชันที่พวกเราต้องพยายามทรงตัวให้ดีในตอนที่ต้องลงไปเก็บต้นหญ้าหวานได้หรือไม่ ต่อไปพวกเราไม่ต้องระวังตนเองเหมือนเช่นที่ผ่านมาแล้ว ชาวบ้านช่วยกันทำบันไดดิน มีราวจับทำให้เดินขึ้นลงได้สะดวกสบายยิ่ง”
“ข้าให้ชาวบ้านเริ่มเอาต้นหญ้าหวานมาส่งหลังจากที่นายช่างเหอได้เริ่มสร้างบ้านไปแล้วหนึ่งวัน ซึ่งก็คือในอีกหกวันข้างหน้านี้ เพราะในวันแรกพวกเราควรได้อยู่ดูแลการสร้างบ้านก่อน อีกอย่างหมิงเอ๋อร์ยังต้องไปหาซื้อวัตถุดิบสำคัญในการมาทำหัวเชื้อน้ำตาลผักด้วย” จางอี้เทาเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้มารดากับภรรยาได้รับฟัง
“ข้าดีใจยิ่งนักเจ้าค่ะท่านพี่ ในที่สุดพวกเราจะมีบ้านที่แข็งแรงเสียที เงินเรามีพอจ่ายค่าสร้างบ้านหรือไม่เจ้าคะ” หลี่อ้ายถาม นางเป็นกังวลในส่วนนี้พอสมควร
“ครอบครัวเรามีเงินพอจ่ายค่าสร้างบ้านจากการขายผ้าปักกับถุงหอมของน้องหญิง ถึงแม้จะไม่พอ แต่รายได้จากการขายน้ำตาลผักให้กับหนิงอ๋องคงพอ น้องหญิงไม่ต้องเป็นห่วง หากมีสิ่งใดที่ตัดสินใจไม่ได้ ท่านพ่อบุญธรรมคงช่วยได้” จางอี้เทาเอ่ยปลอบใจภรรยาเสียงนุ่ม
“เถ้าแก่หลินช่างเป็นคนดีจริง ๆ ต่อไปพวกเจ้าต้องเคารพและกตัญญูต่อท่านให้มาก รู้หรือไม่” นางหูเอ่ยเตือนบุตรชายและหลานตัวน้อย
สำหรับหูไป๋หง แล้วความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญ และนางอยากส่งต่อมันให้จางอี้หมิง สำหรับนางที่เป็นย่าแล้วนั้น การได้เห็นหลานชายเติบโตอย่างดีเป็นสิ่งที่ปรารถนามาตลอด
“ข้าทราบแล้วขอรับท่านแม่ จริงสิน้องหญิง พรุ่งนี้พี่กับ หมิงเอ๋อร์ตกลงกันว่าจะเข้าไปในเมืองไห่ถังเพื่อหาวัตถุดิบทำหัวเชื้อ ครอบครัวจางไม่มีอันใดทำเป็นพิเศษ เช่นนั้นท่านแม่กับน้องหญิงอยากเข้าไปในเมืองเดินดูตลาดและซื้อของบ้างหรือไม่ น้องหญิงจะได้ไปคุยกับร้านขายผ้า เถ้าแก่เนี้ยบอกว่าหากมีผ้าปักอีกก็ให้นำไปขายที่ร้านได้เลย น้องหญิงอาจจะมีหนทางหารายได้อีกทางก็เป็นได้”
จางอี้เทาเห็นว่าช่วงระหว่างนี้ไม่มีสิ่งใดให้ทำมากนัก เห็นสมควรที่จะพามารดาและภรรยาไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองบ้าง ตั้งแต่ย้ายมาที่หลัวถง ครอบครัวจางยังไม่เคยได้ไปเที่ยวเดินตลาดเลย ตัวเขาเองกับบุตรชายถึงแม้จะเข้าไปในเมืองหลายครั้ง แต่ก็เป็นการตรงไปซื้อของทันที
“พวกเจ้าสามคนพ่อแม่ลูกไปกันเถอะ ข้ายังต้องคอยพลิกกลับต้นหญ้าสายรุ้งอีก อีกอย่างข้าแก่แล้ว อยากอยู่พักผ่อนที่บ้านมากกว่า” นางหูเอ่ยปฏิเสธ
“น้องหญิง อยากไปหรือไม่เล่า” จางอี้เทาคว้าเอวภรรยามาโอบกอดไว้หลวม ๆ จ้องมองใบหน้าฮูหยินตนเองด้วยสายตารักใคร่ลึกซึ้ง
“ข้าอยากไปด้วยเจ้าค่ะ อย่างที่ท่านพี่ว่า บางทีข้าอาจจะมีวิธีสร้างรายได้อีกทางในงานที่ข้ารักและถนัดเจ้าค่ะ ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก” หลี่อ้ายเอ่ยตอบแล้วได้แต่เขินอาย นางหลบสายตาสามีพลางก้มหน้ามองต่ำ ในใจนึกชมสามีของตนเอง เขาช่างดีต่อนางยิ่งนัก
จางอี้เทาดีเช่นนี้จะให้นางไม่รักมากได้เช่นไร ต่อให้ต้องลำบากมากกว่านี้ หากสามียังเอ็นดูและรักใคร่ หลี่อ้ายก็พร้อมที่จะร่วมฝันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน
“ท่านพ่อท่านแม่หวานกันอีกแล้ว ข้าไม่อยู่ขัดขวางความสุขของพวกท่านแล้ว ท่านย่า ไปนอกบ้านกันเถอะขอรับ”
จางอี้หมิงเหม็นกลิ่นคนมีความรักจึงชวนนางหูออกไปนอกบ้าน หญิงชราได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับหลานชายตามคำชวน
“ย๊าห์”
ออกมาด้านนอกยังไม่ทันได้ก้าวเดินไปไหน เสียงใครสักคนสั่งให้รถม้าหยุดก็ส่งผลให้สองย่าหลานมองผู้ที่เดินทางมาด้วยความสงสัย
“หมิงเอ๋อร์ นั่นมิใช่รถม้าของเถ้าแก่หวังหรือไม่” นางหูใช้มือบังแสงแดดอ่อน ๆ ก่อนที่จะเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า
“ใช่แล้วขอรับ เป็นรถม้าของเถ้าแก่หวังแน่นอน แต่เหตุใดถึงมาเวลานี้อีกแล้ว เถ้าแก่หวังมาหาเวลานี้เมื่อไหร่ มีแต่เรื่องทั้งนั้น” เด็กน้อยตอบท่านย่าและเปรยออกมาด้วยความสงสัย
“คารวะฮูหยินจาง หมิงหมิงน้อยสบายดีหรือไม่” เป็นคนขับรถม้าของเถ้าแก่หวังกระโดดลงมาจากรถม้า อาคุนเอ่ยทักทายสองย่าหลานที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อย่าได้มากพิธี หมิงเอ๋อร์ ย่าไปพลิกกลับหญ้าสายรุ้งก่อนนะ” นางหูตอบรับและแยกตัวออกไป
“ขอรับท่านย่า” อี้หมิงตอบท่านย่าและหันไปกล่าวกับอาคุน “ข้าสบายดีขอรับ เหตุใดพี่อาคุนถึงมาในเวลานี้เล่าขอรับ”
“เถ้าแก่หวังให้ข้ามาแจ้งพวกเจ้าให้เข้าไปในเมืองพรุ่งนี้ ข้าจะมารับพวกเจ้าเอง หนิงอ๋องต้องการพบคนที่คิดค้นน้ำตาลผักกับเกลือผักในยามอู่ (11.00 – 12.59)” อาคุนกล่าวธุระ
“หนิงอ๋องต้องการพบพวกข้าหรือขอรับ...”
“โอ้ ข้าเกือบลืมไปว่าเถ้าแก่บอกให้บ้านสกุลจางเตรียมทำอาหารหนึ่งรายการเพื่อมอบให้กับหนิงอ๋องด้วย” อาคุนยกยิ้มก่อนจะขอตัวลากลับอย่างเร็วเมื่อเอ่ยธุระเสร็จ
จางอี้หมิงถึงกับอ้าปากค้าง เขาพอจับใจความได้อยู่หรอกแต่พี่อาคุนจะไม่มาไวไปไวไปหน่อยหรือ
“ช้าก่อนพี่อาคุน” เด็กน้อยรีบร้องเรียก
“มีอันใดหรือหมิงหมิงน้อย”
“ไม่ทราบว่าพี่อาคุนจะมารับพวกข้ายามไหนขอรับ”
“คงจะเป็นยามซื่อ (09.00 – 10.59) เจ้าถามทำไมหรือ”
“ข้าขอรบกวนพี่อาคุนมารับในยามเฉิน (07.00 – 08.59) ได้หรือไม่ขอรับ ข้ากับท่านพ่อต้องการซื้อวัตถุดิบบางอย่างที่ร้านเถ้าแก่หวัง รวมถึงจะได้มีเวลาเตรียมวัตถุดิบในการทำอาหารสำหรับหนิงอ๋องด้วย” จางอี้หมิงอธิบายถึงเหตุผลที่คนขับรถม้าสมควรมารับครอบครัวจางเวลาเช้ากว่าเดิม
“ได้ ข้าจะมารับเจ้าตามเวลาที่เจ้าแจ้งไว้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” อาคุนเมื่อได้แจ้งข่าวสารเรียบร้อยแล้วจึงจากไป ทิ้งให้จางอี้หมิงส่ายหน้าช้า ๆ อย่างนึกขบขัน
ท่านพี่อาคุนมาไวไปไวยิ่งกว่าประกันภัยที่โลกเก่าเสียอีก
เมื่อมองรถม้าที่วิ่งหายไปจนลับสายตาแล้ว เด็กน้อยจึงเดินไปช่วยนางหูทำงาน เมื่อเสร็จแล้วสองย่าหลานก็ชวนกันไปริมลำธารเพื่อเก็บผักบุ้งสำหรับมาทำอาหารมื้อเย็นวันนี้ ก่อนจากไปจางอี้หมิงไม่วายตะโกนบอกบิดามารดาจากนอกบ้าน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากับท่านย่าจะไปริมลำธารนะขอรับ”
เขาไม่รอให้บุพการีตอบกลับมา สองเท้ารีบเดินไปสมทบกับท่านย่าของตนเอง แล้วเดินมุ่งหน้าตรงไปยังลำธารทันที
ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากับท่านย่าเปิดโอกาสให้ขนาดนี้
จะปล่อยเวลาให้เสียเปล่าก็ตามใจท่านละนะ