ตอนที่ 2 บันไดดิน【1】
ในยามเช้าของบ้านสกุลจางยังคงวุ่นวายไปด้วยผู้คนเหมือนเคย ตั้งแต่มีการประกาศจัดตั้งกลุ่มการค้าเมื่อหลายวันก่อน ชาวบ้านหลัวถงก็แวะเวียนมาที่กระท่อมปลายนาไม่ขาดสาย ทว่าวันนี้ดูจะคับคั่งเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันที่ชาวบ้านจะขึ้นเขาเพื่อไปเรียนรู้ต้นหญ้าหวาน วิธีการเก็บ รวมถึงวิธีการทำน้ำตาลผักด้วย
แต่เนื่องจากเมื่อวานสองพ่อลูกสกุลจางหมดเวลาไปกับการแก้ไขปัญหาให้เหลาอาหารซิ่งฝูและการติดต่อนายช่างเรื่องการสร้างบ้านเป็นเวลานาน จางอี้หมิงจึงไม่มีเวลาเหลือพอไปหาซื้อวัตถุดิบมาใช้ทำหัวเชื้อน้ำตาลผัก ดังนั้นการสอนการทำน้ำตาลผักจึงขอเลื่อนออกไปก่อน
จางอี้เทานับจำนวนชาวบ้านที่มาเข้าร่วมอย่างละเอียด แต่ละครอบครัวต่างก็ส่งตัวแทนมาบ้านละหนึ่งหรือสองคน เหลือเพียงบ้านของหลวนซานที่ไม่มีใครมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าครบตามจำนวนแล้ว เขาและอี้หมิงจึงพาชาวบ้านเดินขึ้นไปบนเขาที่มีต้นหญ้าหวานอยู่
เมื่อมาถึงบริเวณที่มีต้นหญ้าหวาน ด้านหน้าเป็นทางชันต้องเดินลงไปตามไหล่เขาซึ่งจุดนี้เองที่อี้หมิงก็เคยพลาดตกลงไป
“เอาล่ะทุกคน ข้างล่างนั่นมีต้นหญ้าหวานอยู่ แต่จากตรงนี้เพื่อลงไปเก็บต้นหญ้าหวานเป็นทางลาดชัน ขอให้ทุกคนระวังกันหน่อย ค่อย ๆ เดินตามข้าลงมานะ” จางอี้เทาเดินนำชาวบ้านลงไปยังทุ่งต้นหญ้าหวาน มันค่อนข้างใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากจำนวนชาวบ้านมีสิบคน
“อาเทา ข้ามีความคิดหนึ่งมานำเสนอ ไม่รู้ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่” เมื่อมาถึงพื้นที่ราบแล้ว ชายคนหนึ่งที่มีอายุใกล้เคียงกับจางอี้เทาจึงเอ่ยขึ้น
“พี่ชายท่านนี้มีความคิดอันใดหรือ”
“ทางที่ลงมานี้ ตั้งแต่ตรงนั้นจนถึงที่พวกเรายืนอยู่ตรงนี้มันค่อนข้างลาดชัน ถ้าหากว่าฝนตกคงหกล้มได้ง่าย ข้าคิดว่าเหตุใดเราไม่ช่วยกันขุดดินทำเป็นขั้นบันไดดินเป็นทางขึ้นลงตรงนี้เล่า อาจจะหาแผ่นไม้ หรือก้อนหินมาวางไว้ตรงส่วนที่เราเหยียบเพื่อป้องกันการลื่น หากทำเช่นนี้แล้วการขึ้นลงเก็บต้นหญ้าหวานก็จะง่ายขึ้นและไม่เป็นอันตราย ทุกคนเห็นเป็นเช่นไร”
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ จางอี้เทา จางอี้หมิงและชาวบ้านจึงนึกคิดตามคำพูดอยู่ชั่วครู่ถึงกับเอ่ยชมความคิดของชายคนนั้นออกมา
“อาห้าว เป็นความคิดที่ดีเจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก ข้าเห็นด้วยกับอาห้าวนะ พวกเจ้าเห็นเป็นเช่นไร” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยสมทบ
“ข้าว่าดียิ่ง”
“ข้าเห็นด้วย”
“เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นพวกเรามาช่วยกันทำบันไดดินสำหรับขึ้นลงตรงนี้ก่อน แบ่งคนแยกกันทำนะ ใครจะตัดหญ้า ใครจะขุดดิน ใครจะไปหาก้อนหินหรือแผ่นไม้ ก็แยกย้ายกันไป เสร็จแล้วข้าจะได้สอนการเก็บต้นหญ้าหวาน” จางอี้เทากล่าวจนจบ เขาจัดสรรหน้าที่ให้ทุกคน
สมแล้วที่เป็นอาจารย์ มีเพียงจางอี้หมิงที่เด็กสุด จึงเดินไปนั่งดูพวกผู้ใหญ่ทำงานและคอยเก็บเกี่ยวความรู้เพียงเท่านั้นเอง
ใครว่าชาวบ้านไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยความคิดเรื่องบันไดดินนี้เขาก็คิดไม่ถึงมาก่อน เขากับท่านพ่อขึ้นมาเก็บต้นหญ้าหวานก็หลายครั้ง เจอกับปัญหาทางลาดชันทุกครั้งด้วยซ้ำไป
เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม บันไดดินสำหรับขึ้นลงเก็บต้นหญ้าหวานก็เสร็จเรียบร้อย ชาวบ้านหาก้อนหินมาวางไม่ได้จึงเลือกใช้ต้นไม้ขนาดเล็กตัดเป็นท่อน ๆ มาวางเรียงกันเป็นแพแทนแผ่นไม้
“โอ้ พวกท่านเก่งมากที่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำบันไดดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าความชันมันยังสูงอยู่มาก ข้าว่าท่านลุงสร้างราวบันไดไว้ข้างหนึ่งดีหรือไม่ เช่นนี้เวลาเราพักเหนื่อยเมื่อเดินขึ้นมาได้สักครึ่งทาง เราจะได้มีราวช่วยพยุงได้ดีขึ้น”
จางอี้หมิงลองเดินขึ้นบันไดดินเพียงแค่ครึ่งทางก็เหนื่อยแล้ว แล้วท่านลุงที่ต้องแบกตะกร้าที่มีต้นหญ้าหวานอยู่เต็มหลังคงหนักและเหนื่อยไม่น้อย เขาจึงเสนอให้ทำราวบันไดขึ้นมา
“อันใดคือราวบันไดหรือหมิงหมิงน้อย” ชายที่ชื่ออาห้าวถามอย่างสงสัย เขาไม่เคยได้ยินคำว่าราวบันไดมาก่อน
“ราวบันไดคืออะไรน่ะหรือขอรับ เช่นนั้นเราหาไม้มาทำเป็นเสาให้มีระยะห่างกันแล้วนำไม้ไผ่อีกอันมามัดต่อกันให้เป็นแนวยาวตั้งแต่ล่างไปถึงบนสุดก็จะได้ราวบันไดอย่างง่ายขอรับ มีประโยชน์ใช้วางมือพักเหนื่อยระวังทางที่เดินขึ้นมา” จางอี้หมิงเดินลงมาที่ชาวบ้านทุกคนยืนอยู่ และอธิบายด้วยการวาดไม้วาดมือไปตรงบันไดดิน ซึ่งเพียงไม่นานชาวบ้านก็เข้าใจและเห็นด้วย
พวกเขาจึงหันไปตัดไม้ไผ่มาทำเป็นราว ตัดต้นไม้มาทำเป็นเสา อีกกลุ่มไปหาเครือเถาวัลย์มาทำเป็นเชือก เพียงไม่นานบันไดดินที่มีราวข้างหนึ่งก็เสร็จสมบูรณ์ ชาวบ้านต่างยิ้มให้กันเมื่อเห็นผลงานของตนเอง
“พี่ชาย ท่านลุง ท่านอา ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ขอรับว่าเหตุใดงานในวันนี้จึงเสร็จเรียบร้อยได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะพวกเราทุกคนทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคี เมื่อเกิดปัญหาเราหาหนทางช่วยเหลือกันและกัน ความใจดีมีน้ำใจแบบนี้หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวงนะขอรับ ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านหลัวถงนี้” จางอี้เทาเอ่ยชมทุกคน
“อาเทา พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้น หากไม่ช่วยเหลือกันและกันแล้วจะหาผู้ใดมาช่วยเหลือพวกเรากันเล่า ชาวบ้านก็มีกันเพียงเท่านี้ พวกเราต้องขอบคุณสกุลจางต่างหากที่คิดถึงบุตรหลาน คิดถึงพวกเราชาวบ้าน พวกเจ้ามีอันใดก็เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่มาให้พวกเรา คนดี ๆ เช่นนี้พวกเราไม่รักษาไว้ก็โง่เขลาเต็มทีแล้ว” ชายสูงอายุคนหนึ่งกล่าว
“ข้าขอเป็นตัวแทนสกุลจางขอบคุณพวกท่านที่ไม่รังเกียจครอบครัวข้าที่เพิ่งมาอาศัยอยู่ใหม่ เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูต้นหญ้าหวานกันเถอะขอรับ” จางอี้เทายกมือคารวะขอบคุณทุกคนแล้วจึงเดินนำชาวบ้านไปยังดงต้นหญ้าหวาน
“ทั้งหมดตรงหน้าของพวกท่านคือต้นหญ้าหวานที่เราจะเอาไปทำเป็นน้ำตาลผักส่งไปขายให้กับหนิงอ๋อง” จางอี้เทาบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายพลางผายมือให้เห็นต้นหญ้าที่เป็นพุ่มสูงต่ำไปไกลสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มเดินไปใกล้ต้นหญ้าหวานพลางอธิบายว่าส่วนไหนที่ต้องเก็บ ส่วนไหนใช้ไม่ได้และต้องระวังอันใดบ้าง
“พวกท่านต้องระวังไม่เก็บต้นที่มีดอกนะขอรับเพราะเป็นส่วนที่ใช้ไม่ได้ จะต้องเก็บให้เป็นไปในแนวเดียวกันจากตรงนี้เป็นต้นไป ห้ามเก็บแบบกระจัดกระจายเพราะว่าเราจะควบคุมการงอกขึ้นมาใหม่ไม่ได้ เมื่อเราเก็บไปจนสุดทางแล้ว ต้องวนกลับมาจุดที่เราเก็บไปครั้งแรก ซึ่งจะพอดีกับเวลาที่พร้อมให้เราเก็บรอบใหม่ หมุนวนไปเช่นนี้” จางอี้เทาอธิบายพลางลงไปชี้ส่วนต่าง ๆ ทั้งยังตอบคำถามของชาวบ้านอย่างช้าๆ
จางอี้เทากังวลว่าหากชาวบ้านพากันเก็บโดยไม่เป็นแนวแล้วจะทำให้การเก็บเกี่ยวในครั้งต่อไปนั้นยากขึ้น จึงวางแผนให้ชาวบ้านเก็บอย่างมีแบบแผนและจะดูเรียบร้อยกว่า ซึ่งเด็กน้อยจางอี้หมิงก็ได้แต่นึกชมบิดาในใจ
ท่านพ่อของเขาเป็นคนที่มีแบบแผนอย่างดีเลยทีเดียว
บัณฑิตหนุ่มแจ้งให้ชาวบ้านทราบว่าทางบ้านสกุลจางจะรอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่และคนที่มีสัญญาจ้างในเมืองเสร็จสิ้นสัญญาก่อน อีกหกวันข้างหน้าสกุลจางจึงจะพร้อมให้ชาวบ้านนำต้นหญ้าหวานมาส่งให้ ภายหลังอีกสองวันจากนั้นจึงค่อยมารับหัวเชื้อน้ำตาลผัก เมื่อได้รับแล้ว ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อเรียนรู้วิธีการต้มน้ำตาลผักจากหัวเชื้อ อีกเหตุผลที่ยังไม่สามารถทำได้ทันทีเนื่องจากเถ้าแก่หวังยังไม่ได้ส่งไหเปล่ามาให้ ดังนั้นในตอนนี้จึงยังไม่มีภาชนะพร้อมแจกจ่ายให้ทุกคน
เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ชาวบ้านและสองพ่อลูกจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง จางอี้เทาจูงมือน้อย ๆ ของอี้หมิงไปตลอดทาง พวกเขาพูดคุยกัน กระทั่งมาถึงบ้านหลังเล็กที่มีนางหูและหลี่อ้ายรออยู่
จางอี้เทากับจางอี้หมิงเดินมาถึงบ้านพอดีกับเวลาอาหารกลางวัน กลิ่นหอมลอยฟุ้งมากระทบจมูก วันนี้หลี่อ้ายทำอาหารจานเนื้อ อี้หมิงที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินขึ้นภูเขาถึงกับตาลุกวาว เขาลุกขึ้นเดินเร็ว ๆ ไปล้างมือและมานั่งรออาหารจากมารดาอย่างใจจดใจจ่อ
ทำอย่างไรได้ เด็กก็แบบนี้แหละ ต้องกินให้มากหน่อยจะได้โตไวๆ