บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 เหลาอาหารเฟิงฟู่【2】

“เอามาแล้ว อยู่ในตะกร้า พ่อจะลืมได้เช่นไรในเมื่อลูกเอ่ยย้ำเช่นนั้น” จางอี้เทาเอ่ยเย้าลูกชายด้วยรอยยิ้ม ก็หมิงเอ๋อร์ของเขาย้ำนักหนาว่าไม่ให้เขาลืมเอาของสองอย่างนี้มาด้วย

“หมิงเอ๋อร์คิดว่าเถ้าแก่เหลาอาหารคงจะให้ลูกทดลองทำพะโล้แห้งให้เขาได้ชิมใช่หรือไม่ ถึงให้พ่อเตรียมวัตถุดิบมาด้วย เจ้าช่างฉลาดยิ่ง”

“ขอรับ ข้าคิดว่าเราจะมาขายสูตรอาหาร ถ้าเราไม่ทำให้ชิม เถ้าแก่คงไม่อยากซื้อ ข้าจึงให้ท่านพ่อเตรียมน้ำมันหมูกับน้ำตาลผักมาด้วย” อี้หมิงตอบก่อนจะหยุดเดิน เงยหน้าไปถามบิดาด้วยน้ำเสียงน่ารัก “ท่านพ่อ แล้วพวกเราจะไปขายสูตรอาหารที่ไหนเล่าขอรับ”

“เอาเช่นนี้ พ่อจะไปถามคนแถวนี้ว่ามีเหลาอาหารไหนหรือไม่ที่เราควรจะลองเอาไปขายดู” จางอี้เทาตอบคำถามบุตรชายแล้วจูงมือจางอี้หมิงเดินตรงไปสอบถามยังร้านค้าแถวนั้นอยู่สี่ห้าร้าน คำตอบที่ได้เหมือนกันทุกร้าน

“พ่อหนุ่ม เจ้าคงมาใหม่ล่ะซิ เหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังก็คือเหลาอาหารเฟิงฟู่เช่นไรเล่า ส่วนเหลาอาหารอันดับสอง คือเหลาอาหารซิ่งฝู เหลาอาหารของพวกเขาตั้งอยู่ตรงข้ามกันคนละฝากถนน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะแข่งขันกันอย่างลับ ๆ” เถ้าแก่ร้านบะหมี่อธิบายให้สองพ่อลูกฟังพลางป้องปากคล้ายกับกระซิบกระซาบ

“แล้วเหลาอาหารทั้งสองอยู่ตรงไหนขอรับ” จางอี้เทาถามอย่างสุภาพ

“เจ้าเดินตรงไปอีกแค่หนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว ไม่ต้องเลี้ยวไปไหนนะ เหลาอาหารทั้งสองอยู่ตรงถนนหลักนี่แหละ”

“ข้าขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ ไปเถอะหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทากล่าวขอบคุณเถ้าแก่ร้านบะหมี่แล้วเดินจูงมือบุตรชายไปตามทางที่ชายวัยกลางคนบอก

เดินไปไม่ถึงหนึ่งเค่อดังที่ได้ยินมา สองพ่อลูกจึงเห็นอาคารไม้สามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ป้ายชื่อเหลาที่บรรจงเขียนด้วยตัวอักษรให้ความรู้สึกมั่นคงและแข็งแกร่งปรากฎเด่นชัด ตรงประตูทางเข้ามีรูปปั้นสิงโตคู่ตัวใหญ่ตั้งอยู่ ถึงแม้จะมองจากข้างนอกเข้าไป ไม่ได้เห็นว่าข้างในตกแต่งอย่างไร อี้เทาก็สามารถบอกได้ว่าสมกับเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง ขนาดข้างนอกยังตกแต่งได้สวยงามเช่นนี้ ข้างในเหลาอาหารก็คงไม่แพ้กัน

ระหว่างที่สองพ่อลูกยืนชื่นชมความสง่างามของอาคารไม้ตรงหน้า ด้วยสภาพการแต่งกายที่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป ชุดที่สวมใส่ถึงแม้จะสะอาดสะอ้านแต่ก็ดูราบเรียบ ชายหนุ่มสะพายตะกร้าไม้ไผ่สานไว้ข้างหลัง ส่วนเด็กชายมีร่างกายผอมแห้ง ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ที่มีหน้าที่ต้อนรับพิจารณาแล้วว่าคงไม่ใช่ลูกค้า หากเถ้าแก่ออกมาเห็นว่าปล่อยให้มีขอทานหรือชาวบ้านสกปรกมายืนบังหน้าร้านเช่นนี้ตนอาจจะถูกไล่ออก จึงตัดสินใจเดินมาไล่ให้สองพ่อลูกออกไป

“นี่ พวกเจ้าสองคนนะ รีบออกไปเร็ว อย่ามายืนเกะกะขวางทางลูกค้าเหลาอาหาร”

“นี่พี่ชาย ข้ากับท่านพ่อจะมาขอพบเถ้าแก่เพื่อขายสูตรอาหาร ไม่ทราบว่าพี่ชายพอจะให้ข้ากับท่านพ่อเข้าพบเถ้าแก่ได้หรือไม่” จางอี้หมิงยกมือคารวะและเอ่ยถามเสียงสุภาพ

“เหอะ ดูสารรูปของพวกเจ้า พวกเจ้าสองคนพ่อลูกมิรู้หรือว่านี่คือเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง ไหนเลยจะเอาอาหารพื้น ๆ ของชาวบ้านมาขายได้” เสี่ยวเอ้อร์ยกมือทั้งสองข้างเท้าสะเอวกล่าวดูถูกสองพ่อลูก ปรายสายตาจ้องมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอยู่สองสามที

“เถ้าแก่ของข้าไม่สนใจสูตรอาหารพื้น ๆ ของพวกเจ้าหรอก ไป ๆ รีบออกไปก่อนที่ข้าจะให้คนมาไล่พวกเจ้าสองคนพ่อลูก” เสี่ยวเอ้อร์คนเดิมยังคงเอ่ยปากไล่ เขาทั้งผลัก ทั้งดันและยังเอาไม้กวาดมาไล่จางอี้เทากับเด็กน้อยอีกด้วย

“ได้ ๆ พวกข้าไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้รุนแรงเช่นนี้” จางอี้เทาเอ่ยถามพลางช้อนตัวก้มลงเพื่ออุ้มบุตรชายก่อนที่จะรีบเดินหนีออกไปจากหน้าเหลาอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับไร้ซึ่งมารยาท ไม่รู้ว่าได้รับการขนานนามว่าเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งได้เช่นไร

เมื่อสองพ่อลูกเดินห่างออกมาไกลเหลาอาหารเฟิงฟู่มากแล้ว จางอี้เทาจึงวางบุตรชายลง พลิกดูตามร่างกายของจางอี้ หมิงอย่างละเอียด

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

“ไม่ขอรับ ข้าสบายดี ขอบคุณท่านพ่อที่อุ้มข้าหนีมานะขอรับ” จางอี้หมิงตอบบิดาพลางหมุนร่างกายตนเองให้บิดาได้สำรวจอย่างเต็มที่

“เป็นหน้าที่ของบิดาที่ต้องปกป้องบุตรอยู่แล้ว” จางอี้เทาเอ่ยบอกเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม มันเป็นเรื่องที่ทำให้เด็กน้อยถึงกับน้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะเจ็บจากการถูกไล่ตี แต่เพราะตื้นตันใจและซาบซึ้ง

จางอี้หมิงที่ชาติก่อนเป็นเพียงเด็กกำพร้า ไหนเลยจะได้รับความรักหรือการปกป้อง เขาเคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ทว่าตอนนี้เขามีท่านพ่อ มีครอบครัวอย่างที่ฝัน ซึ่งมันอบอุ่นและดีมาก ความรู้สึกตื่นเต้น ตื้นตันและดีใจผสมปนเปกันไปหมด

“หมิงเอ๋อร์ เป็นอะไร หรือเจ้าบาดเจ็บแต่ปิดบังพ่อไว้” อี้เทาเอ่ยถามบุตรชายอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เขารีบย่อตัวนั่งลงบนส้นเท้าให้ใบหน้าของตนเองอยู่ระดับเดียวกับบุตรชาย

อี้หมิงได้ยินเช่นนั้นก็โผเข้าไปกอดบิดาไว้แน่นและส่ายหน้าไปมาหลายครั้ง เด็กน้อยกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เขาร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ทั้งที่ทั้งสองคนยืนอยู่บนถนนหลัก เต็มไปด้วยผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย

“ถ้าไม่บาดเจ็บแล้วเหตุใดถึงได้ร้องไห้มากมายเพียงนี้” จางอี้เทาเอ่ยถามพลางลูบหลังบุตรตัวน้อยขึ้นลงอย่างปลอบใจ

“ข้าซาบซึ้งใจขอรับ ที่ท่านพ่อรักข้ามากมายขนาดนี้”

“โอ๋ เด็กดี ไม่ร้องนะ พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว หมิงเอ๋อร์เป็นดวงใจของพ่อกับแม่ รวมทั้งท่านย่าด้วย พวกเราจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหมิงเอ๋อร์ได้อย่างแน่นอน ไหนยิ้มให้พ่อดูหน่อยเร็ว พวกเรายังต้องเอาผ้าปักและถุงหอมของแม่เจ้าไปขายอีกนะ เจ้าลืมแล้วเช่นนั้นหรือ ถ้าหมิงเอ๋อร์ยังไม่หยุดร้องไห้ คนเดินผ่านไปมาต้องคิดว่าบิดาคนนี้รังแกบุตรชายอยู่เป็นแน่”

จางอี้เทาใช้นิ้วมือเกลี่ยน้ำตาที่อาบแก้มให้กับลูกชาย ดูเหมือนวันนี้เด็กน้อยจะขี้แยเป็นพิเศษ เขาไม่โกรธเคืองอันใดลูกเลยที่แสดงความอ่อนแอ ในหลาย ๆ วันที่ผ่านมา แม้อี้หมิงจะแสดงให้เห็นว่าตนเองเก่งกาจขนาดไหน แต่บุตรชายของเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบเท่านั้น

“ข้าไม่ร้องไห้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงบอกบิดาพลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่เปรอะไปทั้งใบหน้าอีกครั้ง แต่เพราะตัวเขายังเด็กเวลาร้องไห้จึงทำให้ทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลออกมาด้วยกัน อี้เทาจึงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาเช็ดใบหน้าให้กับบุตรชายจนสะอาด

“ขอบคุณท่านพ่อขอรับ”

“เราไปกันเถอะ วันนี้พวกเราคงขายสูตรพะโล้ไม่ได้แล้วล่ะ” จางอี้เทาบอกลูกชายแล้วจึงลุกขึ้น เขากำลังจะจูงมืออี้หมิงเดินต่อไปยังร้านขายผ้า แต่เพราะเสียงเรียกที่ดังตามมาทางด้านหลังทำให้ต้องหยุดชะงัก หันหลังกลับไปมองตามเสียงเรียกด้วยความสงสัย

“พี่ชาย พี่ชาย อย่าเพิ่งไป รอข้าก่อน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel