ตอนที่ 4 นางแบบจำเป็น
ตอนที่ 4 นางแบบจำเป็น
“อะไรนะคะ! จะให้ฉันเป็นนางแบบหรือคะ!” นรีกานต์ลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะมองหน้าคนนั้นที คนนี้ที “ไม่ค่ะ ไม่เด็ดขาด ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ ฉันไม่กล้า แล้วก็เดินแบบไม่เป็นด้วย ขืนขึ้นไปมีหวังอายขายขี้หน้าชาวบ้านแย่เลย” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดนาน
“เอาเถอะนาง เรื่องแค่เนี่ยมันหัดกันได้ ไม่ลองไม่รู้นะนาง นางน่ะทั้งสวยทั้งเก่งต้องทำได้อยู่แล้ว” รติรสเขย่าแขนเพื่อนสาวขยิก พร้อมกับพยักพเยิดให้เพื่อนสาวยอมรับงานนี้ แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าระรัว
“น่านะนางคนดี นางคนสวยถือว่าช่วยบริษัท ไม่งั้นคุณโทมัสต้องเสียหน้าและเสียชื่อแน่ๆเลย เมื่อกี้คุณดูบิสก็บอกแล้วว่าเจ้าชายเสด็จมาด้วย ถ้าไม่มีนางแบบเสียหายกันหมดแน่ๆ” หญิงสาวคะยั้นคะยอต่อ
“เจ้าชายเสด็จมานั่นแหละฉันยิ่งไม่เอาด้วยใหญ่เลย ขืนทำอะไรผิดพลาดไปล่ะก็ได้ซวยกันทั้งบริษัทแน่ๆ” นรีกานต์ปฏิเสธเสียงแข็งก่อนจะทรุดนั่งลงตามเดิม
“ไม่หรอกครับ ผมเชื่อว่าคุณต้องทำได้ และทำได้ดีด้วย” โทมัสบอกอย่างหนักแน่น เพราะเขารู้ว่านรีกานต์เป็นคนที่รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมายมากและทำได้ดีทุกครั้ง
“ยังไงก็ไม่ค่ะ ให้ฉันออกไปยืนขายของข้างนอกเสียยังดีกว่าอีกค่ะ เรื่องนี้ให้พวกนางแบบมืออาชีพเขาทำเถอะค่ะ” แต่หญิงสาวก็ยังไม่ปฏิเสธท่าเดียว โทมัสจึงงัดไม้ตายขั้นสุดท้ายขึ้นมาใช้
“แต่งานนี้เขามีค่าจ้างให้ด้วยนะ ตามราคาค่าตัวของนางแบบจริงๆเลย” หนุ่มลูกครึ่งรู้ดีว่านรีกานต์นั้นยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน แล้วก็จริงอย่างที่หนุ่มลูกครึ่งคิด เพราะเมื่อนรีกานต์ได้ยินคำว่าเงินก็หูผึ่งขึ้นมาทันที
“แล้วมันเท่าไรกันละคะ” รติรสแกล้งถามเพื่อยั่วกิเลสในตัวของเพื่อนสาวให้ลุกกระพือมากขึ้น
“ถ้าเทียบเป็นเงินไทยแล้วก็เกือบๆ 2 แสนบาท”
“2 แสน!” นรีกานต์ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อได้ยินจำนวนเงิน และนั่นก็ทำให้รติรสหันมาแอบส่งยิ้มให้กับโทมัสอย่างรู้กัน ก่อนจะหันกลับมาทางนรีกานต์อีกครั้ง
“เงินไม่ใช่น้อยเลยนะ แค่ขึ้นไปเดินไม่กี่รอบเอง ก็ได้เงินตั้งเยอะ เสียดายจังที่นางไม่เอา” รติรสทำหน้าเศร้าๆ แต่ก็เหลือบหางตามองมาทางเพื่อนสาว ซึ่งกำลังทรุดนั่งลงที่เดิมและทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก
“ก็ได้ค่ะ ฉันยอมเป็นนางแบบให้ก็ได้ค่ะ เพื่อเห็นแก่บริษัทและท่านประธาน” นรีกานต์ยิ้มกริ่มอยู่ในใจพร้อมกับเห็นเงินก้อนโตลอยเข้ามาใกล้
“ขอบคุณมาก งั้นเดี๋ยวผมให้คุณดูบิสพาคุณไปเตรียมตัวและอธิบายรายละเอียดว่าคุณจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง เพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผู้จัดการสาขา
“เจอกันตอนเย็นนะ” รติรสตบไหล่เพื่อนรักอย่างให้กำลังใจ ซึ่งตอนนี้นรีกานต์ก็มีใจเกินร้อยแล้วตั้งแต่รู้จำนวนเงิน 6 หลัก ต่อให้ยากกว่าการเดินแบบเธอก็ทำได้อย่างไม่เกี่ยงอีกแล้วเพราะมันคุ้มเกินคุ้มเสียอีก
“คุณน่าจะบอกตั้งแต่ตอนแรกนะคะ จะได้ไม่ต้องมัวเกลี่ยกล่อมให้เสียน้ำลาย ดูสิเดินตามคุณดูบิสไปลิ่วๆ เลย” รติรสหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
“ผมก็เพิ่งนึกออกเมื่อครู่นี้เอง” โทมัสหันมาคลี่ยิ้มกว้างให้กับหญิงคนรัก
“รสอยากเห็นจังเลยคะว่าตอนที่นางแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วจะสวยมากขนาดไหน”
“ถึงสวยยังไงก็สู้แฟนของผมไม่ได้หรอก ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งหลงคุณมากขึ้นทุกทีเลยรู้ไหม ผมไม่อยากให้คุณห่างมาไกลแบบนี้เลย ผมเป็นห่วง แล้วก็หวงด้วยกลัวว่าจะมีใครมาจีบคุณ” มือแกร่งนุ่มจับคางมนหันไปมาอย่างหยอกล้อ
“อย่าห่วงเลยค่ะเรื่องนั่นนะ รสไม่สนใจใครอยู่แล้ว เพราะรสรักคุณจนหมดหัวใจและไม่มีหัวใจให้กับผู้ชายคนไหนอีกแล้ว” รติรสคลี่ยิ้มหวาน และนั่นก็เป็นเหตุให้ร่างบางถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนแกร่ง ก่อนจะถูกประคองให้เดินไปทางห้องทำงานส่วนตัวของชายหนุ่ม
และแล้ววันที่นรีกานต์ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตก็มาถึง หญิงสาวนั่งบีบมือของตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาพร้อมกับหลับตานิ่งเพื่อเรียกสมาธิให้กับตนเอง
“สวยมากเลยนาง สวยกว่านางแบบบางคนเสียอีก” รติรสวางมือลงบนบ่าของเพื่อนสาวพร้อมกับมองเงาสะท้อนในกระจกอย่างตกตะลึง ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพื่อนรักของเธอจะสวยดึงดูดสายตาได้มากขนาดนี้ ใบหน้าสวยถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางชั้นดี บวกกับชุดผ้าใยแก้วที่เหมือนกับเจ้าหญิงอาหรับราตรียิ่งส่งให้ร่างบางดูเย้ายวนสายตาเสียเหลือเกิน
“ฉันตื่นเต้นจังเลยรส ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้” นรีกานต์เอื้อมมือที่เย็นเฉียบไปจับมือเพื่อนรักอย่างสั่นๆ
“ใจเย็นๆ ฉันรู้ว่าเธอต้องทำได้ ฉันเชื่อฝีมือของเธอจ๊ะ” รติรสตบมือลงบนหลังมือของอีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ
“ถ้านางแบบพร้อมแล้วเชิญเตรียมตัวที่หลังเวทีเลยครับ” สตาฟผู้ดูแลงานยื่นหน้าเข้ามาบอกและนิ่งงันไปชั่วครู่เมื่อเห็นหน้านางแบบสาว
“ค่ะๆ เดี๋ยวตามไปค่ะ” รติรสหันมาอมยิ้มอย่างขำๆ กับอาการอ้าปากค้างของฝ่ายสตาฟหนุ่ม ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสาวอีกครั้ง
“เต็มที่เลยนะเพื่อน อย่าให้เสียชื่อสาวไทยล่ะ” พูดจบเธอก็ตบมือลงบนบ่าของนรีกานต์อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว และครู่ต่อมาผู้ช่วยสตาฟก็เข้ามาพานางแบบจำเป็นออกไปยืนรอคิวที่ด้านข้างเวที
ส่วนทางด้านหน้าเวทีโทมัสก็เชิญเสด็จเจ้าชายชารีฟมาประทับนั่งที่โซฟาด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นไม่นานแสงไฟบนเวทีด้านหน้าก็สลัวลงก่อนที่ผ้าม่านสีน้ำเงินเข้มจะเปิดออก เผยให้เห็นหอยมุกขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ที่กลางเวที และมีชายฉกรรจ์เปลือยอกอีก 2 คน ยืนขนาบอยู่ที่ด้านข้าง และเมื่อแสงไฟส่องไปยังตัวหอยเปลือกหอยขนาดยักษ์ก็ค่อยๆเผยอเปิดขึ้น สาวงามที่นั่งชันเข่าอยู่ด้านในก็ยืดตัวยืนขึ้นและวางมือลงบนมือแกร่งของชายฉกรรจ์ทั้ง 2 คน ที่ยื่นออกมารับ ก่อนที่ร่างบางจะโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะของดนตรีที่เปิดคลอเบาๆ
ชารีฟถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นนางแบบบนเวที สายตาของเขาไม่สามารถละมาจากเรือนร่างบางนั้นได้เลย เลือดในกายร้อนระอุราวกับมีใครไปสุมกองไฟอยู่ในด้านใน นี่เป็นครั้งแรกที่ไฟปรารถนาในตัวลุกกระพือขึ้นโดยที่ไม่ต้องมีคนมาจุด แล้วนางแบบผู้นี้เป็นใคร? มาจากไหน? ทำไมถึงได้ก่อกวนอารมณ์ของเขาได้มากขนาดนี้
โทมัสเหลือบหางตามองมาทางเพื่อนร่วมธุรกิจ ก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งจ้องเขม็งไปบนเวที มันก็แน่อยู่แล้ว มีใครบ้างที่ไม่ตะลึงตารานเมื่อเห็นหญิงงามอยู่ตรงหน้า ขนาดเขาเองยังอึ้งไปทีเดียวตอนที่เห็น
นรีกานต์ครั้งแรก
“ถึงกับตกตะลึงเลยเหรอพะยะค่ะ” หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยแซวยิ้มๆ ซึ่งก็ทำให้ชีคหนุ่มหันมากระตุกมุมพระโอษฐ์ขึ้นน้อยๆ พร้อมกับหัวเราะในลำคอ
“เจ้าจัดงานได้เยี่ยมขนาดนี้จะไม่ให้ข้าตะลึงได้ยังไง ว่าแต่นางแบบที่เจ้าหามาแทนโซฟิน่าเป็นใครกัน ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”
“เรื่องงานกระหม่อมน้อมรับคำชมพะยะค่ะ แต่ส่วนเรื่องที่มาที่ไปของนางแบบคนนี้กระหม่อมทูลตอบได้อย่างเดียวว่าเธอไม่ใช่นางแบบมืออาชีพ” โทมัสอมยิ้มอย่างรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย เพราะเขากับชีคหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทกันมากตอนที่เรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แค่เห็นแววเนตรวาววับของราชนิกูลหนุ่มก็รู้แล้วว่าทรงสนพระทัยในตัวนรีกานต์เข้าให้แล้ว แต่เขาจะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ เพราะถ้านรีกานต์เป็นอะไรไป รติรสคงเล่นงานเขาตายแน่ๆ
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพวกนางแบบโนเนมไร้สังกัด” ชารีฟหันกลับไปมองบนเวทีพร้อมกับหรี่ดวงตาคมลง และลอบยกมุมปากขึ้นอย่างมีเลศนัยโดยที่เพื่อนหนุ่มลูกครึ่งไม่ทันได้เห็น
นรีกานต์วางชุดแสนสวยและบางเบาลงบนโต๊ะหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ที่งานเสร็จสิ้นลงไปด้วยดีโดยที่ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด แต่เธอก็เกือบจะเดินสะดุดขาของตัวเองไปเหมือนกัน เมื่อหันไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่คมกริบราวกับสายตาของพญาเหยี่ยวคู่นั้น มันทำให้หัวใจของหญิงสาวสั่นไหว และเย็นวาบไปทั่วทั้งร่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งเธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนในชีวิต
“เฮ้อ...เลิกคิดได้แล้วนรีกานต์ เดี๋ยวเหาจะกินหัวเอา” หญิงสาวบอกตัวเอง พร้อมกับส่ายหน้าไปมาเพื่อสลัดภาพพระพักตร์คมของเจ้าชายหนุ่มออกจากความคิด และเตรียมที่จะไปล้างหน้าในห้องน้ำต่อ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีสียงเคาะที่หน้าประตูห้องแต่งตัว เธอจึงเดินไปเปิดเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนสาว แต่พอประตูห้องเปิดออกคิ้วเรียวก็ต้องขมวดเข้าหากัน เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่รติรส แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสูทสากลสีดำกับช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่
“เจ้าชายทรงประทานช่อดอกไม้มาให้ และขอเชิญคุณไปร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกันที่รีสอร์ตริมทะเลวันนี้ครับ” เขาโค้งต่ำให้เธอก่อนจะยื่นช่อดอกไม้มาให้ นรีกานต์รับมาพร้อมกับครุ่นคิดในใจ ถึงเธอจะอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงอาทิตย์เธอก็พอจะรู้ข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเจ้าชายพระองค์นี้มาบ้างว่าเป็นเพล์บอยขั้นเทพทีเดียว และการที่ส่งดอกไม้กับชวนไปทานอาหารก็คงเป็นแผนการที่คิดจะงาบเธอเหมือนๆ กับผู้หญิงคนอื่นนั่นแหละ ผู้ชายไม่ว่าจะสูงศักดิ์สักแค่ไหนก็เหมือนกันหมด คือเห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่นและที่ระบายความใคร่ คงคิดสินะว่าผู้หญิงจะง่ายเหมือนกันทุกคน
“ฝากทูลเจ้าชายด้วยนะคะว่าขอบพระทัยมากสำหรับดอกไม้ แต่เรื่องรับประทานอาหารดิฉันคงต้องขอปฏิเสธ เพราะดิฉันยังมีงานที่จะต้องทำอีกเยอะ ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวฝืนยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะปิดประตู และวางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะก่อนจะเหยียดปากออก
“คิดว่าเป็นเจ้าชายแล้วจะต้องมีแต่คนยอมจำนนให้ล่ะสิ เสียใจด้วยนะฉันขายเฉพาะแรงงานไม่ได้ขายตัว” ใบหน้าสวยเชิดใส่ช่อดอกไม้ช่อโตก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปทางห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องหยุดลงอีกครั้งพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น และบ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เจ้าชายจะทรงกริ้วไหมเนี่ย? แล้วถ้าเจ้าชายกริ้วล่ะและรู้ว่าเราทำงานอยู่ที่นี่ ต้องบังคับให้คุณโทมัสไล่เราออกแน่ๆเลย” เมื่อครู่เธอมัวแต่หวงศักดิ์ศรีและโกรธจนลืมคิดถึงข้อนี้ไป แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ริมฝีปากบางจึงเม้มเข้ากันอย่างกลัดกลุ้ม ร่างบางเดินวนไปวนมาที่หน้าประตูห้องน้ำ ก่อนที่ใบหน้าขาวจะเชิดขึ้นอีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปมองหน้าตัวเองในกระจกเงาภายในห้องน้ำ
“เราแต่งหน้าหนาขนาดนี้ไม่มีทางจำได้หรอกว่าเราเป็นใคร ขนาดเรายังจำตัวเองไม่ได้เลยนี่นา คุณโทมัสเองก็คงจะไม่บอกหรอกว่าเราเป็นใคร เพราะเราเป็นเพื่อนรักกับรติรส แต่ถึงเจ้าชายจะทรงทราบคุณโทมัสก็คงจะช่วยพูดได้ เราเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย แค่ปฏิเสธไม่ไปทานอาหารด้วยเท่านั้นเอง” สาวไทยหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อให้สบายใจขึ้น ก่อนจะยิ้มปลอบใจตัวเอง แต่ในใจลึกๆ นั่นก็กลัวอยู่เหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายที่มีอำนาจอยู่ในมือสามารถทำอะไรกับใครก็ได้