ตอนที่ 3 เหล่านางสนม
ตอนที่ 3 เหล่านางสนม
“ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? เจ็บมากไหมเพคะ?” รอนีย์กวาดสายตามองไปรอบวรองค์ของชีคหนุ่มอย่างละเอียด ก่อนจะซบลงบนอกแกร่งที่เปิดเปลือยอยู่
“ถามแบบไม่ใช้หัวคิดเลยนะรอนีย์ ใครบ้างที่โดนยิงแล้วไม่เจ็บ จริงไหมเพคะ?” นูรีนตวัดตามองค้อนก่อนจะดึงรอนีย์ออกมาจากพระอุระแกร่ง แล้วตนเองก็ซบลงไปแทนพร้อมกับปลายตามองพระพักตร์คมอย่างออดอ้อน
“นี่มันจะมากไปแล้วนะนูรีน เจ้าไปให้พ้นๆเลยนะ วันนี้เป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องปรนนิบัติดูแลเจ้าชาย ส่วนเจ้าไม่เกี่ยว” รอนีย์กัดกรามกรอด ก่อนจะเข้าไปดึงตัวนูรีนออกจากพระอุระแกร่ง แล้วผลักลงมาจากเตียง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับนูรีนเป็นอย่างมาก
“แต่ตอนนี้เจ้าชายทรงประชวร ต้องการคนที่รู้พระทัยดูแลมากกว่า เจ้าถอยไปจะดีกว่ารอนีย์” นูรีนเดินเข้ามากระชากแขนรอนีย์ให้ลุกขึ้นจากเตียง แล้วหันมาเผชิญหน้ากันอย่างตรงๆ
“เชอะ! เจ้านะเหรอคนรู้พระทัย ฝันไปหรือเปล่านูรีน ข้าต่างหากที่เป็นคนรู้พระทัยและเป็นคนที่เจ้าชายทรงโปรดด้วย ส่วนเจ้าออกไป แล้วอย่ามายุ่งกับเจ้าชาย ฉันจะถวายการดูแลเจ้าชายเอง” รอนีย์มองอีกฝ่ายตาขุ่น
“ข้าต่างหาก ส่วนเจ้าออกไป!” นูรีนผลักไหล่บางอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมกัน การถกเถียงก็เกิดขึ้น จนคนที่นั่งฟังอยู่บนเตียงถึงกับตวาดไล่อย่างรำคาญ
“หยุด! ออกไป! ข้าไม่ต้องการให้ใครมาดูแลทั้งนั้น ออกไปให้หมด!” สองสาวถึงกับนิ่งเงียบลงทันที ก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยแววตาอาฆาตแค้น
“ข้าบอกให้ออกไป!” ราชนิกูลหนุ่มตะคอกใส่อีกครั้งเมื่อเห็นสองสาวยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
“แต่ว่า...” รอนีย์ทำท่าจะเอ่ยค้านแต่พอเห็นแววตาดุดัน และสีหน้าที่บึ้งตึงของเจ้าชายหนุ่มก็นิ่งเงียบลงตามเดิม นูรีนก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพากันเดินออกไปด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงและงอง้ำ
“ข้าถือว่าโชคดีที่ไม่คิดจะมีผู้หญิงเอาไว้ในครอบครองทีละหลายๆคน” เจ้าชายเซคิโอแย้มพระสรวลอย่างล้อเลียนพระเชษฐา
“พูดมากน่าคิโอ” ชารีฟหยิบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะก้าวลงจากเตียงแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ระเบียงห้อง
“ข้าว่าพี่น่าจะหาพระชายาได้แล้วนะ เมื่อวันก่อนข้าก็ได้ยินท่านพ่อเปรยๆออกมาเรื่องคู่ครองของพี่เหมือนกัน” เซคิโอเดินตามพี่ชายมานั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ก่อนจะยกน้ำชาที่ซาบาชรินให้ขึ้นดื่ม
“ยังหรอก ข้ายังไม่อยากผูกมัดตัวเองอยู่กับผู้หญิงคนไหน เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอไงว่ามันวุ่นวายแค่ไหน สำหรับพี่แล้วผู้หญิงก็เหมือนน้ำที่เอาไว้ดับความกระหายเท่านั้น”
“ที่พี่คิดแบบนั้นก็เพราะพี่ยังไม่เจอรักแท้น่ะสิ ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจว่าในเวลาอันใกล้นี่แหละ พี่จะต้องเจอกับผู้หญิงที่ใช่สำหรับพี่ แล้ววันนั้นพี่จะไม่พูดแบบนี้อีก คอยดู”
“นอกจากจะดูแลด้านเศรษฐกิจแล้ว เจ้ายังเป็นหมอดูหาคู่ให้คนอื่นอีกด้วยเหรอคิโอ แต่ข้าว่านะแทนที่เจ้าจะคิดหาคู่ให้ข้า เจ้าหาให้ตัวเองก่อนไม่ดีกว่าเหรอน้องชาย” ชารีฟหัวเราะในลำคออย่างขำๆ
“หัวเราะดีไปเถอะ แล้วข้าจะคอยดูวันที่พี่หัวเราะไม่ออก” เซคิโอยิ้มที่มุมปากก่อนจะลุกขึ้น แล้วพูดต่อ “เดี๋ยวข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ตามสบายเถอะ อ้อ...แล้วอย่าลืมไปดูดวงของตัวเองด้วยล่ะว่าจะเจอเนื้อคู่วันไหน” ชารีฟยังคงล้อน้องชายเล่น ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มรับอย่างขำๆ แล้วเดินออกไป องค์รัชทายาทหนุ่มจึงหันกลับมาทางองครักษ์คู่ใจ
“โทมัสบอกหรือเปล่าว่าจะมาวันไหน?”
“วันนี้พะยะค่ะ” อีกฝ่ายก้มศีรษะลงนิดหนึ่งก่อนจะทูลรายงาน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอนของตนเองไป
สนามบินกลางสหพันธรัฐดาบิย่า
“ท่าทางของเธอดูอ่อนเพลียนะนางเป็นอะไรหรือเปล่า” รติรสถามอย่างเป็นห่วงเพราะเธอเฝ้าสังเกตท่าทางของเพื่อนสาวมาตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่องจากเมืองไทยจนกระทั่งมาถึงดาบิย่า
“นั่นสิ ผมก็ว่าจะถามเหมือนกัน” โทมัสพูดสำทับขึ้นพร้อมกับมองหน้าเพื่อนสาวของหญิงคนรักอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณโทมัส” นรีกานต์คลี่ยิ้มแห้งๆ ให้กับเจ้านายหนุ่มก่อนจะเบนสายตามาทางเพื่อนสาว แล้วพูดต่อด้วยเสียงอ่อยๆ “เมื่อคืนฉันฝันว่าเจองูตัวเท่ากับอนาคอนด้าแน่ะ มันเข้ามารัดฉันจนหายใจไม่ออก นั่นแหละฉันถึงได้สะดุ้งตื่น แล้วก็นอนไม่หลับอีกเลย บ้าที่สุดเลยทำไมต้องฝันร้ายแบบนั้นด้วยก็ไม่รู้ ง่วงเป็นบ้าเลย”
“ฝันร้ายที่ไหน เขาเรียกว่าฝันดีต่างหาก” รติรสหัวเราะชอบใจก่อนจะพูดต่อ “โบราณเขาบอกเอาไว้ว่าถ้าฝันเห็นงูจะได้เจอเนื้อคู่ เธอฝันแบบนี้ก็แสดงว่าเนื้อคู่ของเธออาจจะอยู่ที่ดาบิย่านี้ก็ได้นะ”
“บ้าน่ะสิ ฉันไม่นิยมของนอกหรอกย่ะ เดี๋ยวเสียดุลประเทศไทยหมด” นรีกานต์กระซิบบอกเพื่อนสาวเบาๆ พร้อมกับส่งค้อนให้หนึ่งวงใหญ่อย่างหมั่นไส้
“นั่นแหละตัวดีเลย เขาบอกเอาไว้ว่าเกลียดอะไรต้องได้อย่างนั่น” รติรสอมยิ้มอย่างขำๆ เมื่อเห็นแววตาขุ่นขวางของเพื่อนสาวที่มองมาที่ตนเอง
“ไปคุยต่อบนรถเถอะครับ รถมาแล้ว” โทมัสหันมาบอกสองสาว ก่อนจะเดินนำไปที่รถแวนสีขาวใหม่เอี่ยม ที่คนขับเปิดประตูรอพวกเขาอยู่แล้ว
“เดี๋ยวผมจะไปส่งพวกคุณที่คอนโดที่พักก่อน พวกคุณจะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ ส่วนผมจะเลยไปทำธุระต่ออีกนิด แล้วตอนเย็นเราค่อยเจอกัน” โทมัสหันมาบอกกับหญิงคนรักและลูกน้องสาว หลังจากทั้งหมดก้าวขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ดีค่ะ ฉันเองก็รู้สึกเวียนๆ หัวเหมือนกันค่ะ อยากนอนเต็มแก่แล้วด้วย ฝันบ้าๆ นั่นทำให้ขวัญผวาหมดเลย” นรีกานต์ยิ้มอย่างเขินๆ พร้อมกับยกมือขึ้นนวดบริเวณขมับทั้งสองข้างของตนเอง ซึ่งก็ทำให้รติรสอมยิ้มอย่างขำๆ ก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มให้กับชายคนรัก
ตำหนักเจ้าชายชารีฟ พระราชวังอัลวา บิน ซายาส
ภายในห้องทรงงานส่วนพระองค์ของเจ้าชายชารีฟเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด สีพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มทั้งสองพระองค์เคร่งขรึมไม่แพ้กัน
“ข้าว่ามันจะเสี่ยงเกินไปนะ ถ้าเจ้าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อแบบนั้น” เจ้าชายราเชสเอ่ยค้านอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของพี่ชาย
“เราต้องยอมเสี่ยงบ้าง เพื่อแลกกับความสำเร็จที่จะตามมา”
“แต่ต้องไม่ใช่ชีวิตของเจ้า เจ้าอย่าลืมสิว่าเจ้าคือองค์รัชทายาท”
“ก็นี่แหละคือหน้าที่ขององค์รัชทายาท แต่ถึงแม้ว่าข้าจะพลาดพลั้งไป ก็ยังมีเจ้าอยู่” พระหัตถ์หนาตบลงบนบ่าของเจ้าชายราเชสเบาๆ
“ถ้าท่านพ่อทรงทราบจะต้องทรงไม่พอพระทัยอย่างมากแน่ๆ”
“เจ้าก็อย่าบอกเรื่องนี้กับใครสิ ที่ข้าเรียกเจ้ามาประชุมลับที่นี่ก็เพื่อไม่ต้องการให้ใครรับรู้ นอกจากเจ้ากับข้าเท่านั้น”
“แต่ว่า...”
“หยุดเถอะ ต่อให้เจ้าค้านยังไงก็ไม่เป็นผลหรอกราเชล เจ้าก็รู้ว่าสิ่งไหนที่ข้าตัดสินใจไปแล้วไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจเด็ดขาด” ราชนิกูลหนุ่มพูดตัดบทขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นพระอนุชาทำท่าจะเอ่ยค้านขึ้นอีก
“งั้นก็ตามใจเจ้าแล้วกัน” ราเชลถอนใจออกมายาวๆอย่างระอาในความดื้อดึงของผู้เป็นพี่ชาย ตั้งแต่เด็กมาแล้วไม่เคยมีใครที่จะเอาชนะพระเชษฐาของตนได้เลย ทำให้เขาอยากรู้นักว่าคนที่จะทำให้พี่ชายของเขาสยบราบคาบได้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร
หลังจากได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มอิ่มแล้ว นรีกานต์ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นและมีพลังในการทำงานมากขึ้นด้วย เช้านี้จะเป็นวันเริ่มต้นการทำงานของเธอที่นี่ ดินแดนที่มีทั้งทะเลทรายและทะเลสีฟ้า วันนี้โทมัสได้พาพวกเธอเข้ามาที่บริษัทเพื่อแนะนำให้กับพนักงานคนอื่นได้รู้จัก สองสาวรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกับพนักงานต่างชาติต่างภาษาซึ่งทุกคนก็ให้การต้อนรับอย่างเป็นมิตร
“แย่แล้วครับคุณโทมัส!” น้ำเสียงตื่นตกใจดังมาจากผู้จัดการสาขา ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังพาสองสาวออกมาจากห้องฝ่ายโฆษณา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคุณดูบิส” หนุ่มลูกครึ่งหันมาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
“คือว่าคุณโซฟิน่า นางแบบที่เราว่าจ้างให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในวันมะรืนนี้ เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บสาหัสครับ ผู้จัดการส่วนตัวของเธอเพิ่งโทรมาบอกเมื่อครู่นี้เองครับ ผมลองติดต่อนางแบบคนอื่นแล้ว แต่ทุกคนก็มีคิวงานกันหมด จะเอายังไงดีครับ ในวันงานเจ้าชายชารีฟก็จะเสด็จมาเป็นประธานในพิธีด้วย กำหนดการทุกอย่างก็ถูกส่งไปหมดแล้ว” สีหน้าของคนถามวิตกกังวลอย่างมาก ก่อนจะส่งแฟ้มประวัตินางแบบให้กับผู้เป็นเจ้านาย
“แล้วนอกเหนือจากในแฟ้มนี้ล่ะ มีใครที่พอจะติดต่อได้บ้างไหม?” ชายหนุ่มเปิดแฟ้มดูก่อนจะถอนใจออกมาอย่างหนักใจแล้ววางแฟ้มลงบนโต๊ะ
“ตอนนี้ผมกำลังให้เลขาติดต่อไปทางต้นสังกัดอยู่ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้หรือเปล่าครับ”
“ยังไงก็ต้องลองดูให้หมดทุกทาง ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยว่ากันอีกที” โทมัสพยักหน้าน้อยๆ แต่สีหน้าก็ดูเคร่งเครียดขึ้น
รติรสหยิบแฟ้มนางแบบขึ้นมาเปิดดูก่อนจะกระซิบพูดกับนรีกานต์เบาๆ “ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย ฉันว่าเธอสวยกว่าตั้งเยอะ ดูสิคนนี้ก็หน้ายาวเชียว นี่ๆ ส่วนคนนี้ก็ผอมกะหร่อง สู้หุ้นอวบๆ อย่างเธอก็ไม่ได้”
“เบาๆ สิรส เดี๋ยวก็ถูกตบกลับเมืองไทยกันเป็นแถวหรอก” นรีกานต์จุปากก่อนจะดึงแฟ้มในมือเพื่อนสาวางลงที่เดิม
“ก็มันจริงนี่นา เธอนะทั้งสวยทั้งหุ่นดีทำไมไม่ไปเป็นนางแบบกับเขาบ้างล่ะ รายได้ดีกว่ามาเป็นพนักงานแบบนี้อีกนะ” รติรสบอกอย่างเสียดายแทนเพื่อนสาว และคำพูดของรติรสก็ดังเข้าไปในโสตประสาทของโทมัสเข้าพอดี ชายหนุ่มจึงหันมาพิจารณาสาวไทยอย่างตรงๆ ก่อนจะลูบคางไปมาอย่างขบคิด ครู่ต่อมาจึงหันมายิ้มให้กับผู้จัดการสาขา
“ผมว่าเราคงไม่ต้องหานางแบบที่ไหนแล้วล่ะคุณดูบิส” พูดจบเขาก็หันมาคลี่ยิ้มกว้างให้กับนรีกานต์ ก่อนจะพูดต่อ
“ผมต้องการให้คุณเป็นนางแบบโชว์ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของเรา ในงานเปิดตัวบริษัท คุณทำได้ไหมคุณนาง?”