บทที่ 6 ขอโทษที่ผมชอบอ่อย...แต่ไม่บ่อยที่ใครจะรู้ (2)
หลังจากที่เด็กวายร้ายออกไป นฤมลก็ถึงกับทรุดลงกับพื้น เธอยังคงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงที่เด็กคนนั้นฝากไว้อย่างถือดี เปลือกตาบางปิดลงนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้าที่เธอจะตกลงรับปากกับพี่ชัช เพื่อมาเป็นหมอรักษาอาการป่วยให้กับน้องชาย นายภาคินนั่นน่ะแหละ
ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชัชขอไว้ เธอก็คงไม่ได้มายุ่งกับเรื่องนี้ ตอนที่พี่ชัชมาขอร้องเธอให้ช่วยรักษาอาการป่วยของน้องชาย โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเธอก็ตอบตกลงกลับไป เพียงเพราะอยากให้พี่ชัชมองเห็นถึงความจริงใจของเธอบ้าง เธอยินดีทำทุกอย่างเพื่อเขา แล้วสิ่งที่เขาตอบแทนกลับมาคือแบบนี้น่ะเหรอ?
เหอะ เธอมันน่าสมเพชเอง รักคนที่เขาไม่รัก มันก็ต้องเจ็บปวดอย่างนี้
มือเรียวจับราวข้างผนังหยัดกายลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า แข้งขาเธอยังคงสั่นไม่หยุดรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนต้องกัดฟันแน่น ดวงตาคมสวยหรี่ลง ฝืนร่างกายอ่อนล้าเดินไปหยิบชุดสำรองที่แขวนไว้ด้านใน หลังจากที่สวมเสื้อผ้าเสร็จ นฤมลก็กลับมาตีหน้าขรึมเย็นชาเหมือนเดิม ตอนนี้เธอไปเข้าประชุมไม่ทันแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ไป
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอถูกความคิดต่างๆ นานาพุ่งโจมตีพร้อมกับจนฟังอะไรไม่ออก สมองเธอในตอนนี้มันตื้อเกินกว่าจะจดจำเนื้อหาสาระในที่ประชุมวันนี้ได้ แต่อย่างเดียวที่เธอจำได้ก็คือ สัปดาห์หน้ามีสัมมนาที่หัวหิน นอกจากนั้นเธอก็ไม่สนใจฟังรายละเอียดอื่นอีก
ก็ดีเหมือนกัน การได้ออกไปในที่ไกลๆ ออกไปหายใจข้างนอกบ้างจะได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แล้วก็ลืมความเจ็บช้ำที่พี่ชัชทำไว้ด้วย
เช้าวันถัดไป...
เช้าวันนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างวุ่นวายไปสักหน่อย เพราะตั้งแต่ขับรถมาถึงโรงพยาบาลก็ถูกเรียกตัวเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการทันที ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรสลักสำคัญไปกว่าการทำงาน แต่เธอรู้ว่านั่นเป็นเพียงหน้ากากที่ใช้แสดงออกให้คนภายนอกเห็นเท่านั้น นฤมลแอบกำมือบนตักแน่นรู้สึกอึดอัดไม่น้อย เพราะสายตาที่อีกฝ่ายมองมาเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง มันเต็มไปด้วยความนัยลึกซึ้ง เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เธอไม่สามารถตอบแทนกลับไปได้
“ผู้อำนวยการมีอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้เรียกดิฉันให้เข้ามาพบแบบนี้” เธอถามเสียงนิ่งเรียบ ดวงตาจ้องอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ไม่คิดให้ความหวังแม้แต่นิดเดียว
“ที่ผมเรียกมลมาก็เพราะ...” นัยน์ตาพราวระยับกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจนมาหยุดอยู่ที่หน้าอก
“เพราะอะไรคะ” เธอทำเป็นไม่เห็นสายตาลามกนั้น เอ่ยขัดขึ้นก่อนที่คำพูดต่อมาของคนตรงหน้าจะทำให้หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม อายุตั้งเท่าไหร่แล้วยังจะทำตัวเป็นตาเฒ่าหัวงูอีก เธอไม่หาอะไรมาฟาดใส่หน้าก็บุญโขแล้ว
“เรื่องสัมมาหน้าสัปดาห์หน้าครับ นอกจากสัมมนาแล้วยังจะขอวานให้มลทำหน้าที่เป็นผู้อบรมในงานด้วย เรื่องเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ในวันนั้นจะมีพวกเด็กนักเรียนจากในเมืองมารับความรู้ในเรื่องนี้ด้วย ผมก็เลยอยากขอให้มลรับหน้าที่นี้ด้วยเลย”
“แต่ดิฉันเป็นหมอจิตแพทย์”
“ผมรู้ครับและเข้าใจว่ามลรู้เรื่องนั้นดี อย่างน้อยหมอจิตแพทย์ก็น่าจะรู้เรื่องเพศศึกษาเบื้องต้น การให้หมอทางจิตเข้ามาพูดคุยกับเด็ก ๆ จะทำให้พวกเขาเปิดใจรับฟังที่ได้ยินมากขึ้น ผมคิดว่านี่เป็นการดีที่จะทำให้พวกเขารู้จักป้องกัน ถ้าหากว่าจะมีเซ็กส์กับใครสักคนเพื่อสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง” ไม่พูดเปล่าแต่สายตาเจ้าเล่ห์หื่นกระหายยังกวาดมองเธอขึ้นลงอย่างเปิดเผย สายตาจาบจ้วงแบบนั้นแทบทำให้เธอหมดความอดทนอยากซัดหน้าหมอแก่ให้เละไปข้าง แล้วตามด้วยด่าตอกหน้าว่า อย่าฝัน!
แก่ขนาดนี้ต่อให้เธอเป็นคนบ้าก็ไม่คิดจะเอาหรอก!
“มีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อน”
นฤมลไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดต่อก็รีบลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังประตู แต่ก่อนจะได้ไปถึงกลับมีมือของใครบางคนคว้าจับเอาไว้ก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เธอสะบัดมือนั้นทิ้งอย่างขยะแขยง ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างกันออกไป ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะยืนใกล้กลับยังฉวยจังหวะที่เธอตกใจขยับเข้ามาแทรกกลาง กระชากมือเธอทั้งสองข้างกดไว้กับผนังห้อง
หมับ!
“ผู้อำนวยการคิดจะทำอะไร!” เสียงตวาดลั่นของหญิงสาวดูจะไม่ทำให้ชายล่วงเข้าวัยหกสิบสะทกสะท้าน คนเป็นผู้อำนวยการคลี่ยิ้มเล็กน้อย ดวงตาหยาดเยิ้มหื่นกามสำรวจเรือนร่างอ่อนนุ่มน่าหลงใหลอย่างไร้ความรู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่จิตสำนึกว่าตัวเองเป็นสามีของแม่เธอ
ใช่แล้วล่ะ เรื่องนี้มันน่าสมเพชมาก ผู้ชายคนนี้เป็นสามีใหม่ของแม่เธอ และเธอมีฐานะเป็นลูกเลี้ยงของเขา!
“ปล่อยฉัน!” นฤมลดวงตาแดงก่ำ ตวาดลั่นอย่างคับแค้นใจ หลายปีที่ผ่านมาเธอต้องทนกับพฤติกรรมแย่ ๆ ของอีกฝ่าย ถึงจะไม่ได้ถูกล่วงเกินแต่ก็โดนลวนลามตลอด ถึงเธอจะพยายามบอกแม่เรื่องนี้แล้ว แต่ก็ถูกคนเลวทรามใช้รอยยิ้มล่อลวงหลอกล่อแม่ตลอด เปลี่ยนจากดำเป็นขาวอย่างหน้าด้าน ๆ ทำให้เธอเจ็บใจมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าเพียงแต่พี่ชัชมีความรู้สึกเดียวกันกับเธอสักนิด เธอจะไม่ลังเลใจที่จะแต่งงานกับเขาเพื่อหนีออกไปจากกรงขังอันน่าสะอิดสะเอียนนี่เลยสักนิดเดียว
แต่ความหวังของเธอกลับเป็นได้แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ และเมื่อวานพี่ชัชก็ช่วยทำให้มันชัดเจนจนเธอต้องยอมแพ้แล้วจริงๆ
“ฉันบอกให้ปล่อยไง!” เสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ หากแต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่ได้ยิน
ศักดิ์ชายกระตุกยิ้มพอใจที่ได้เห็นลูกเลี้ยงคนสวยมีสีหน้าหวาดกลัว ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาวเขาก็นั่งนับวันรอที่จะได้กลืนกินอีกฝ่าย ความสวย ความสาวของลูกเลี้ยงคนนี้มันล่อตาล่อใจจนเขาปวดร้าว อยากปราบพยศตรึงไว้ใต้ร่าง แล้วทำให้ริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่ชอบก่นด่าเขาร้องครวญคราง ลุ่มหลงกับการปรนเปรอของเขา
“ไม่เอาน่าหนูมล เรียกพ่อสิจ๊ะ ฉันเป็นพ่อของหนูนะ อย่าเรียกฉันเสียห่างเหินแบบนั้น”
“ฉันบอกให้แกปล่อยไง!” ดวงตาคู่สวยถลึงมองกราดเกรี้ยว ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง
“หึ นี่ก็สนิทสนมเกินไปนะ ทำไมหรือหนูมล ฉันมันไม่ดีตรงไหน ฉันชอบหนู ฉันอยากได้หนู หนูก็รู้นี่ ยังคิดจะเล่นตัวอีก”
“ไปตายซะไอ้แก่ตัณหากลับ คนอย่างฉันไม่มีวันคิดอะไรกับแกหรอก ทั้งแก่ ทั้งชั่ว ฉันสะอิดสะเอียดและขยะแขยงแกที่สุด ได้ยินไหม! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย!”
“คำก็แก่ สองคำก็แก่! หนูมลชักจะทำตัวไม่น่ารักแล้วนะ! ก็เอาซี่! ร้องเลยหนูมล ขนาดแม่แท้ๆ ของแก่ยังไม่เชื่อ แล้วคนอื่นมันจะเชื่อแกเหรอฮะ นี่มันห้องฉัน แค่ฉันบอกว่าแกร่านจนตัวสั่น คิดจะแย่งผัวแม่ตัวเองก็เลยมาหาฉันถึงห้อง มาให้ท่าฉัน แค่นี้คนภายนอกเขาก็เชื่อฉันแล้ว อย่าเล่นตัวนักเลยน่า ฉันรอแกโตมาหลายปีแล้ว เลี้ยงแกกับแม่อย่างดีมาโดยตลอด แกก็น่าจะตอบแทนบุญคุณฉันบ้าง”
“นี่แกมีความคิดเลวๆ แบบนี้มาตั้งแต่ต้นเลยเหรอ เสียแรงที่แม่รักแก ไอ้คนชั่ว ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” เธออึ้งจนทำอะไรไม่พูด ไม่คิดเลยว่าคนที่แม่รักจะกลายเป็นคนชั่วช้าสามานย์ได้ขนาดนี้ คิดจะเอาลูกเลี้ยงมาเป็นเมียอีกคน นฤมลแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ดวงตาเอ่อคลอน้ำตาด้วยความแค้นจัดจนอยากจะฆ่าใครสักคนเดี๋ยวนี้เลย
และคนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ไอ้แก่ตรงหน้าที่คิดจะทำร้ายเธอ!
“หนูมล...จุ๊ๆๆ อย่าร้องสิจ๊ะ มันไม่เจ็บหรอกนะ เดี๋ยวพอนานไปก็เสียว ให้ฉันเข้าไปเถอะนะ ฉันอยากเอาหนูมานานแล้ว หนูยอมเป็นเมียฉันเถอะนะ ฉันรักหนูมากจริงๆ”
“คุณรักฉัน? รักแล้วใช้กำลังบังคับกันแบบนี้เหรอ? เหอะ คำว่ารักของคุณมันคงมีแต่ความหลอกลวง เพราะฉันสัมผัสไม่ได้ถึงความจริงจังของคุณเลย ถ้ารักฉันจริงก็ปล่อยฉันสิ ปล่อยฉัน” เธอเริ่มรวบรวมเศษเสี้ยวของสติกลับคืนมาทีละนิด เมื่อเริ่มมองเห็นช่องทางหลบหนีก็เริ่มใช้ให้เป็นประโยชน์ อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ขณะมองมาอย่างเคลือบแคลงสงสัย
เธอรู้ว่ามันไม่โง่ แต่กลับรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไร ถ้าลองได้พูดจาดูหมิ่นมันแบบนี้ อีกไม่นานมันต้องปล่อยตัวเธอแน่