บทที่ 7 ขอโทษที่ผมชอบอ่อย...แต่ไม่บ่อยที่ใครจะรู้ (3)
“ก็ได้หนูมล ฉันจะไม่ทำอะไรหนูตอนนี้ แต่ว่า...” สายตาของมันทำให้เธอขยะแขยงหวนคิดถึงทุกครั้งที่ผ่านมา แล้วครั้งนี้เธอก็คงโดนไม่ต่างกัน
เธอรังเกียจที่โดนทำแบบนี้ แต่ทางเลือกของเธอมีอยู่ไม่มาก นอกจากยอมแล้ว เธอยังจะทำอะไรได้อีก
เปลือกตาบางปิดลงพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลรินลงมา เธอไม่อยากมองเห็นสีหน้ามันตอนเป็นผู้ชนะ ไม่อยากเห็นมันทำหน้าเหมือนกับเป็นแค่เหยื่อตัวเล็กๆ ที่มันคิดจะทำอะไรก็ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันทำได้ ถ้าคิดจะทำ
ฝ่ามือสากระคายสัมผัสเนื้อตัวเธออย่างย่ามใจ ในขณะที่ริมฝีปากของมันเริ่มซุกไซ้ซอกคอเธอ นฤมลขนลุกชันไปทั้งร่าง หากแต่ไม่ใช่เพราะความเสียวซ่านแต่เป็นรังเกียจจนแทบคลั่ง ชั้นในตัวบางถูกรูดลงจนสุดปลายเท้า ก่อนที่ศีรษะของอีกฝ่ายจะลดลงต่ำเข้ามาซุกอยู่ใต้กระโปรง เธอถึงกับสะดุ้งเฮือกทันทีที่ลิ้นร้อนชื้นของมันแตะลงบนเนินเนื้อ หลังจากนั้นก็ลากเลียอย่างไม่เกรงใจ ขาของเธอถูกจับพาดบนบ่ากว้าง เปิดเผยตัวตนมากขึ้นจนมันสัมผัสเธอได้ลึกล้ำขึ้นกว่าเดิม
“ไม่...” เธอร้องห้ามตามเสียงร้องในใจอย่างหวาดหวั่น เผลอดิ้นหนีอย่างลืมตัว
“หนูมลอย่าดื้อสิจ๊ะ อย่าทำให้ฉันโมโห” คำเตือนของอีกคนทำให้หญิงสาวนิ่งขึงอยู่กับที่ เสียงสะอื้นดังขึ้นไม่หยุดเต็มไปด้วยความท้อแท้ไร้ทางสู้ ความกลัวในวัยเด็กจากการกระทำของอีกฝ่ายฝั่งแน่นอยู่ในใจจนตามหลอกหลอนในความฝัน หากเธอดิ้นขัดขืน เธออาจถูกมันทำร้ายร่างกายอีกก็ได้
เพราะมันคือผู้มีพระคุณช่วยฉุดดึงเธอกับแม่ให้หลุดจากขุมนรก แค่เพียงมันเอ่ยปากขอ เธอกลัวว่าสุดท้ายแล้วแม่จะยอมทำตามที่มันต้องการ
“อืม...หนูมลช่างหวานเหลือเกิน”
เธอปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งหมด ขอแค่ไม่มอง ไม่ดู ไม่ฟัง เธอก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว นอกจากความขยะแขยงเกลียดชังสุดขั้วหัวใจ เธอสาบานว่าถ้าออกไปจากวังวนนี้ได้ เธอจะไม่หวนกลับมาอีกเลย
แต่เมื่อไหร่ล่ะที่เธอจะมีวันนั้น วันที่ได้รับอิสระ หรือว่าเธอต้องทนอยู่กับความอัปยศนี่ไปตลอดชีวิต ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย...
นฤมลเดินกลับมายังห้องพักของตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง ตลอดเรือนร่างยังคงสั่นเทาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ตลอดทางที่ต้องเดินผ่านคนอื่นเธอยังสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องแล้ว เธอกลับพบว่าตัวเองช่างอ่อนแอเหลือเกิน ร่างของเธอพิงเข้ากับผนัง ก่อนจะรูดลงนั่งกับพื้นกอดเข่าไว้แน่นอย่างต้องการปกป้องตัวเอง
น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไปก็ไหลลงมาใหม่ อกย้ำให้เอรู้ว่าสุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้แพ้อยู่ดี
อดีตของเธอมันช่างน่าข่มขื่น เธอกับแม่เคยอยู่ในสถานที่ไม่ดีมาก่อน ตอนนั้นแม่ของเธอทำงานอยู่ในซ่องตรงตรอกมืดของชุมชนแออัด เธอซึ่งมีอายุได้สิบสองปีก็แทบจะเกือบต้องกลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนพวกนั้น เกือบต้องขายเรือนร่างแลกกับข้าวปลาอาหารเพื่อประทังชีวิตอยู่ไปวันๆ
แต่แล้วเธอกับแม่ก็หลุดพ้นจากสถานะต้อยต่ำได้มายืนอยู่ในวงสังคมของมนุษย์ทั่วไป ได้เรียนหนังสือ ได้มีการศึกษา ได้เงินทองมากมายโดยไม่ต้องใช้ร่างกายเพื่อแลกมันมา อนาคตที่เคยหม่นหมองสิ้นหวังกลับผงาดขึ้นมามีหน้ามีตา หลุดพ้นจากขุมนรกอันดำมืดมาสู่แสงสว่างในที่สุด
แสงสว่างที่ทำให้เธอแทบคลั่งเหมือนทุกวันนี้
มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจห้ามไม่ให้มันไหลลงมาได้อยู่ดี นฤมลจมอยู่กับความเสียใจอันไร้ที่สิ้นสุด ในสมองเริ่มครุ่นคิดหาทางออกให้ตัวเองอีกครั้ง แม้หนทางข้างหน้าจะไม่ง่าย แต่เธอไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อคิดถึงสัมผัสของผู้มีพระคุณใจบาป ร่างทั้งร่างของเธอก็สั่นสะท้าน ดวงตาทั้งสองปิดลง หัวคิ้วชนกันอย่างทรมาน ความเจ็บปวดที่ฝังลึกในจิตใจ นับวันก็ยิ่งแผ่ลามจนกลายเป็นความทุกข์ที่หยั่งรากลึก ซ้ำยังหวาดกลัวว่าถ้าวันใดที่ความเจ็บปวดนั้นเดินทางมาถึงจุดจบ จุดสิ้นสุดของตัวเธอจะจบลงอย่างไร
ความตายไม่ใช่ทางออก แต่ถ้าเธอต้องกลายเป็นของมัน การตายนับว่าดีที่สุด
เธอเอื้อมมือออกไปเช็ดถูตรงจุดที่อีกฝ่ายสัมผัสทั้งหมด ซอกคอที่ถูกจูบโดนเธอขยี้ด้วยสองมือจนแดงปื้น ความขยะแขยงสุดฤทธิ์ทำให้เธอหวีดครางในลำคอ ทั้งยังรู้สึกคลื่นไส้ด้วยความสะอิดสะเอียนแสนรังเกียจ มือเรียวทึ้งร่างตัวเองไม่หยุดจนปรากฏรอยขีดข่วนไปทั่ว ถ้าเพียงแต่ความเจ็บทางกายจะช่วยลบล้างความเจ็บทางใจ เธอยินดีทำให้ร่างกายนี้เป็นแผล ยินดีทำให้มันโชกเลือดแทนเลือดที่กำลังหลั่งรินในหัวใจ
เธอรู้ว่าตัวเองกำลังแย่ แต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้
หมอจิตแพทย์งั้นเหรอ...คนที่ควรได้รับการรักษาน่าจะเป็นเธอมากกว่านะ เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้เป็นบ้ามากขึ้นทุกวันแล้ว!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
จู่ๆ เสียงที่หน้าประตูก็ดังขึ้นหยุดสองมือที่กำลังทำร้ายตัวเองลงโดยพลัน คิ้วเรียวของนฤมลเลิกขึ้น ก่อนเม้มปากแน่นเหลือบสายตาไปยังนาฬิกาตรงผนัง เช้าขนาดนี้ใครกันที่มาหาเธอ หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเร่งด่วนอีก?
เมื่อคิดไปถึงจุดนี้ร่างเพรียวระหงก็รีบลุกขึ้นยืนจัดผมเผ้าตัวเองให้เป็นปกติ เธอเดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน ก่อนจะคว้าเอาทิชชู่หลายแผ่นมาเช็ดหน้า เช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนอยู่ หลังจากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบกระจกมาส่องหน้า แค่แวบแรกที่เห็นภาพสะท้อนเธอก็แค่นหัวเราะออกมา สภาพเหมือนเพิ่งไปฟัดกับใคร
นี่น่ะเหรอคุณหมอคนสวยเจ้าเสน่ห์ที่ใครๆ พูดถึง ถ้ามีใครสักคนรู้ประวัติเบื้องหลังของเธอ พวกเขาคงขยะแขยงเธอจนไม่อยากเข้าใกล้แน่นอน
ทรัพย์สินเงินทองเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้คนเราอยู่เหนือคนอื่นได้ แต่ชาติกำเนิดที่ถูกปกปิดเอาไว้ ถ้าวันใดวันหนึ่งมีคนรู้เข้า ชีวิตที่สวยหรูของเธอคงจบลง หลังจากนั้นคงถูกประณามหยามเกียรติ ถูกเหยียบให้ต้อยต่ำติดดิน
นฤมลสูดลมหายใจเข้าปอดพยายามบอกตัวเองให้สงบและเข้มแข็งเอาไว้ เธอยกแป้งขึ้นผลัดหน้ากลบร่องรอยบวมช้ำจากการร้องไห้มาหนักหน่วง เมื่อสภาพอารมณ์คงที่ กลบเกลื่อนทุกอย่างสำเร็จแล้ว เธอจึงตะโกนกลับไป ทันทีที่ได้รับอนุญาต ประตูตรงหน้าก็เปิดเข้ามาพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่เธอคาดไม่ถึง
เด็กคนนี้คิดจะตามหลอกหลอนเธอไปจนถึงเมื่อไหร่?!
“มาทำไมแต่เช้า” น้ำเสียงเย็นชาของคุณหมอสาวไม่ได้ทำให้ภาคินรู้สึกรู้สาอะไรกลับคลี่ยิ้มกริ่ม ทำตาเจ้าเล่ห์ ก่อนสาวเท้าเดินเข้ามาหาคนหน้าสวยที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“คิดถึงครับเลยมาหา” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทรุดลงนั่งตรงหน้าฝั่งตรงข้ามกับคุณหมอคนสวย ถ้าเพียงแต่เขาไม่สังเกตเห็นว่าดวงตาของคนตรงหน้ามีร่องรอยของการบวมช้ำ ซึ่งเกิดจากการร้องไห้มาอย่างหนัก เขาคงจะทำล้อเล่นมากกว่านี้
ใบหน้าแสนทะเล้นพลันขรึมลง ดวงตาคมกริบแฝงเร้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะฉายแววเจ้าชู้เหมือนเดิม ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับรอยยิ้มเต็มริมฝีปาก ทำเอาคนไม่ตั้งตัวถึงกับผงะจ้องอีกฝ่ายเขม็งตาโต
“ทำบ้าอะไรของนาย”
“ทำให้คุณหมอหน้าบึ้งยิ้มไงครับ” เสียงทุ้มนุ่มตอบกลับมา ก่อนมือหนาจะฉวยมือเรียวบนโต๊ะมากุมไว้ ครั้นพบว่าตามนิ้วมือมีรอยขีดข่วน รอยยิ้มบนใบหน้าก็แทบเลือนหาย คิ้วเข้มกระตุก แม้ใจจริงอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่ระยะห่างระหว่างกันที่มีอยู่มากคงยากที่จะได้คำตอบที่แท้จริง
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของนาย” เธอตอบอย่างเย็นชาพลางคลี่ยิ้มเย็น มือเรียวสะบัดออกสุดแรงแต่กลับไม่หลุดจากมือหนาที่กุมไว้ ดวงตาคู่สวยลากขึ้นมาสบกับคนร่างสูงก็เห็นเขาทำเพียงฉีกยิ้มอยู่อย่างนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าเธอจะกระแทกมือของเขาลงกับโต๊ะ เขาก็ยังยืนยันที่จะจับมือเธอไว้อยู่ดี
“ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นหรอกครับ แต่วันนี้ผมมาอ่อยเผื่อว่าคุณหมอจะยอมใจอ่อน ยอมคบกับผมเป็นแฟนสักที”
“หยุดเพ้อฝัน แล้วก็กลับไปซะ ฉันจะไม่รักษาให้นายอีกแล้ว” เสียงหวานตอบจริงจัง สีหน้าเครียดขรึมลงเท่าตัว
“ใจร้ายจังนะครับ แต่ผมไม่ยอมหรอก วันนี้หมอมีคนไข้ต้องรักษาอีกหรือเปล่าครับ ผมอยากชวนหมอไปเที่ยวข้างนอก อารมณ์ไม่ดีแบบนี้ ขืนนั่งอยู่ในห้องต่อไป อารมณ์จะยิ่งคุกรุ่นเอานะครับ ออกไปเที่ยวกับผมสักชั่วโมงดีกว่า นะครับนะ”
“ฉันไม่ไป เลิกหน้าด้านสักทีได้ไหม ปล่อยมือฉันได้แล้ว ฉันจะทำงาน” คราวนี้เธอสะบัดมือออกอย่างแรงจนหลุดออกในที่สุด ตอนนี้เธอไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าเธอจะออกไปข้างนอกเลย เธออ่อนแอเกินกว่าจะไปปั้นหน้าเย็นชาใส่คนอื่น ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่านั่นเป็นหน้ากากที่ใช้ปกป้องตัวเอง
“หมอร้องไห้ทำไมเหรอครับ” คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของอีกคน ทำให้นฤมลตัวแข็งทื่อ เธอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอีกครั้ง ดวงตาสั่นไหวจนต้องหลบไปมองทางอื่น
“นาย...” เสียงของเธอหลุดออกมาแผ่วเบา อยากจะเอ่ยถามเขาว่าทำไมถึงรู้ ทั้งที่เธอก็ปกปิดมันไว้เป็นอย่างดี
“ไปเที่ยวกับผมนะครับ” เมื่อรู้ส่าคนตรงหน้าไม่ต้องการให้พูดถึงเรื่องนี้ เขาจึงเลี่ยงที่จะถามอะไรให้เธอต้องลำบากใจ ร่างสูงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินอ้อมไปยังด้านหลังคุณหมอสาว นฤมลถึงกับเบิกตากว้าง เมื่ออีกฝ่ายฉุดร่างเธอให้ลุกขึ้นยืน
“นายจะพาฉันไปไหน...”
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้ครับ” เขาไม่ตอบแต่ทิ้งปริศนาเอาไว้ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย ร่างเพรียวขยับตัวออกห่างพลางมองดูเขาด้วยสายตาหวาดระแวงที่ปิดไม่มิดของเธอ
“คิดจะทำมิดีมิร้ายฉัน?”
“บอกว่าผมกำลังคิดจะอ่อยคุณหมอดีหว่าไหม” เขาเล่นหูเล่นตาตอบกลับ
“สนุกมากไหมที่ทำแบบนี้” เธอถามอย่างกังขา ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเด็กนี่จะมายุ่งวุ่นวายกับเธอทำไม แต่เธอเองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าพอเขาเข้ามา เธอก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทันที
ควรจะขอบคุณดีไหมนะ แต่ว่าจะขอบคุณเรื่องอะไร
โดยไม่รู้ตัวหญิงสาวเผลอแค่นหัวเราะด้วยรอยยิ้มเศร้าหมอง ภาคินจับจ้องรอยยิ้มนั้นด้วยสายตาลึกล้ำ ก่อนจะกลบเกลื่อนเป็นสายตาขี้เล่นร้ายกาจเหมือนเดิม เขาอยากถามเธอใจจะขาด แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้ เขาเพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นมากขนาดนี้ ปกติถ้ามีเรื่องสงสัยอะไร ถ้าอยากรู้ก็จะถาม จะบีบเค้นให้ได้คำตอบมา แต่เมื่อเป็นคนตรงหน้าเขากลับต้องอดทน เมื่อให้เธอยอมเปิดเผยออกมาเอง
“นี่เป็นหนึ่งในการอ่อย”
“ครับ? จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ ขนาดอ่อยทุกวัน หมอจะไม่ใจอ่อนก็ให้มันรู้ไป!”
“หึ ฉันไม่มีวันใจอ่อนกับนายหรอก”
“ก็มาดูกันครับว่าจะไม่มีวันนั้น ถ้าผมรุกหนักขึ้นมากลัวก็แต่ว่าคุณหมอจะตั้งรับไม่ทัน”