ตอนที่ 4
สายตาของเขาแสดงอาการครุ่นคิด พินิจใบหน้าของแอลลี่ราวกับว่าเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่ง
“เป็นชาวเวียดนามค่ะ…”
แอลลี่ยังคงตอบแบบออมถ้อยคำ สั้นและกระชับที่สุด เธอรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อต้องเอ่ยถึงครอบครัว
คำตอบจากปากของหญิงสาวสะกิดใจพีระพงษ์ขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้จัดการโรงแรมอยู่ที่ฮาลองมาก่อน แต่หลังจากแต่งงานกับรพีพรรณ ได้ดิบได้ดีแล้วก็ย้ายกลับมาเป็นผู้บริหารโรงแรมที่เมืองไทยตามบัญชาของภรรยาที่อยากให้เขามาอยู่ใกล้ๆ
“งานเก่าก็ดีอยู่แล้วนี่…ทำไมถึงคิดจะเปลี่ยนงานเสียล่ะ”
พีระพงษ์ถามแทรก เมื่อได้ยินที่แอลลี่บอกไปตามตรงว่าปัจจุบันเธอทำงานอยู่ในโรงแรมชื่อดังระดับสี่ดาว ซึ่งก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของเขา
“ดิฉันต้องการความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ใฝ่ฝันเอาไว้เสมอว่าอยากร่วมงานกับโรงแรมที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของภูมิภาคและมีความมั่นคงอย่าง BK Paradise Hotel ของท่านมานานแล้วค่ะ ดิฉันอยากใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาให้เกิดประโยชน์ในการทำงานที่ตัวเองสนใจ อยากเรียนรู้งานที่ท้าทายและอยากพัฒนาตัวเองให้ถึงที่สุดค่ะ”
น้ำเสียงฉะฉานสะกดคนฟัง
หญิงสาวไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นแต่อย่างใด เมื่อเจอกับคำถามที่อาจทำให้หลายคนคิดหนัก หากแต่เธอสามารถตอบได้อย่างฉลาดเฉลียว ชัดถ้อยชัดคำ ตั้งสติได้เป็นอย่างดี ไม่ได้มีท่าทีประหม่าเกร็งเล็ดลอดออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เหมือนคนที่เตรียมตัวมาแล้วอย่างดีว่าการตัดสินใจก้าวเข้ามาใน BK Paradise Hotel แห่งนี้…ชีวิตเธอจะเจอกับอะไรบ้าง
พีระพงษ์ยิ้ม แววตาแสดงความพึงพอใจเมื่อได้ฟังคำตอบจากปากของหญิงสาวตรงหน้า เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแอลลี่ มองเห็นความตั้งใจจริงซึ่งครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยผ่านช่วงชีวิตนี้มาก่อน
“ดี…ผมชอบคนมุ่งมั่นและตั้งใจจริง หวังว่าคุณจะไม่ทำให้เราผิดหวัง เป็นอันว่าผมตกลงรับคุณเข้าทำงาน…เงินเดือนตามที่คุณเรียกไม่มีปัญหา คุณพร้อมจะเริ่มงานได้เมื่อไร”
เขาเอ่ยขึ้นโดยมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย
พีระพงษ์เชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเองเสมอมา เขามองเห็นความทะเยอทะยานในดวงตาของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า เชื่อว่าเธอจะเป็นพนักงานที่มีศักยภาพของ BK Paradise Hotel ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ดิฉันพร้อมจะเริ่มงานได้เดือนหน้าค่ะ…”
แอลลี่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เธอพยายามระงับความตื่นเต้นจากสายตาของเขา ซึ่งแทบไม่คลาดไปจากดวงหน้าของเธอสักแม้นาทีเดียว
จากนั้นพีระพงษ์ก็เอื้อมมือออกไปกดอินเตอร์คอมซึ่งเป็นระบบสื่อสารที่ใช้กันภายใน เรียกวิไลวรรณเข้ามาในห้อง
“เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวก่อน…เกี่ยวกับกฎระเบียบในการทำงานหรือมีข้อสงสัยอะไรที่อยากถาม เลขาฯ ของผมจะพาไปคุยกับแผนกบุคคล ฝากด้วยนะวิไล”
ประธานบริษัทสั่งพลางยกหลังมือขึ้นมองนาฬิกา ป่านนี้รพีพรรณผู้เป็นภรรยาคงเดินทางมาถึงแล้ว
“ค่ะท่าน”
เลขาฯ พยักหน้ารับด้วยน้ำเสียงสุภาพ
แอลลี่ยกมือไหว้ลาพีระพงษ์ ก่อนหยัดร่างระหงขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวตามวิไลวรรณที่เดินนำหน้าออกไปช้าๆ
นาทีต่อมา…
ภายหลังเสร็จสิ้นธุระเรื่องงาน แอลลี่แวะเข้าห้องน้ำของโรงแรมหรูแห่งนั้น
เธอจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ ภายในห้องน้ำที่ได้รับการดูแลสะอาดสะอ้าน แลเห็นแจกันดอกไม้หลากสีสันตั้งตระหง่านอวดความงดงามอยู่ตรงกึ่งกลางกระจก แบ่งอ่างล้างหน้าออกเป็นสองส่วนซ้ายและขวา ใบเขียวขจีสวยงามของต้นพูด่างในแจกันสีฟ้าเทอร์คอยซ์ ระย้าย้อยลงมาจากผนังสีน้ำทะเล ทว่าความรู้สึกของแอลลี่ในตอนนี้กลับไม่ได้รับรู้ในความงามเหล่านั้นแม้แต่น้อยนิด มือของเธอบีบเกร็งจนรู้สึกเจ็บด้วยความลืมตัว
หญิงสาวหยิบทิชชูขึ้นซับคราบน้ำตากลมเกลี้ยงที่กลิ้งลงมาอาบนวลแก้ม จ้องมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงา สบตากับผู้หญิงสวย หากแต่นัยน์ตากลับดูเศร้าหม่นและกร้าวกระด้าง ราวกับว่าผู้หญิงในกระจกคนนั้นไม่ใช่เธอ แต่เป็นอีกคนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปเงาของความคับแค้น ด้วยจิตใจที่ถูกบ่มเพาะด้วยแรงอาฆาตที่อัดแน่นมาแต่ครั้งอดีต
“ไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้…”
แอลลี่กระตุกยิ้มเยือกเย็น พูดกับภาพสะท้อนของตัวเองที่ปรากฏอยู่ในกระจกราวกับฟั่นเฟือนไปแล้ว นึกขอบคุณโชคชะตาที่นำพาให้เธอเข้ามาใกล้ผู้คนในตระกูล ‘อัครพลไพศัลย์’ อีกก้าว