๑ เผชิญดาวร้าย / 2
สาเหตุมาจากในยามบ่าย เขาประกาศหาหีบที่หายไปของตนเองในเรือ กลับไม่มีผู้ใดตอบ แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่ห้องของไป๋ซิงหนี่ว์เสียอย่างงั้น
ข้าสบเข้ากับดวงตาดุที่มองอย่างไม่สบอารมณ์ จึงคร้านจะกล่าวแก้ต่างใดๆ เพราะสั่งการบ่าวไปแจ้งแล้ว ยังจะมามองด้วยสายเช่นนี้อีก ก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องปรับความเข้าใจกันต่อ
“ถ้าเป็นของท่านก็เอาไปเสีย ถ้ายกไปไม่ไหวก็ให้บ่าวช่วยขนเจ้าค่ะ” ข้าตอบเขา
“เหตุใดถึงไม่ตอบที่ข้าถาม...” จิ้นฝานกดคิ้วต่ำในขณะที่กล่าวกับนาง
“ตอบอันใด” ข้าเอ่ยถามอย่างสงสัย
จิ้นฝานยืนจ้องนางเพียงครู่เดียว ตวัดตากลับมาหมุนกายหันหลังกลับ และเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“พวกเจ้าขนไปไว้ในห้องให้ข้าด้วย” พอกล่าวจบก็ก้าวเดินออกไป
ข้ามองท่าทีนั้นอย่างขุ่นใจ เป็นอันใดของเขากัน ข้าจะเอาหีบอาภรณ์ของเขาเก็บเอาไว้ทำไมกัน การแสดงออกทางสีหน้าเช่นนั้น คงจะคิดหลงตัวเองไปแล้วเป็นแน่ และมันเป็นความผิดของข้าตรงไหนกัน
เฮ้อ...ข้าผ่อนลมออกจากจมูก ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป มิวายบ่นเขาไปอีกสองสามประโยค
ส่วนเสี่ยวเมิ่งที่ยืนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ดูท่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองยากจะปลูกต้นไม้ร่วมต้นกันได้
“ทำหน้าเช่นนั้นเจ้าปวดท้องรึ” ข้าเอ่ยถามเสี่ยวเมิ่งที่ยืนหน้างออยู่ด้านหลัง
“เปล่าเจ้าค่ะ...บ่าวถามอันใดจากคุณหนูได้ไหมเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งอึกอักก้มหน้ากลั้นใจเอ่ยถาม
ข้ามองท่าทางของนางอยู่ครู่หนึ่งถึงจะกล่าวออกไป
“ถามมา”
“ก่อนหน้านี้คุณหนูรองกับคุณชายจิ้นเคยทะเลาะกันมาก่อนหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งถามอย่างคับข้องใจ เหตุใดคนทั้งสองจึงทำราวกับไม่ชอบหน้ากันมาก่อน
“ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง...ข้าแทบไม่เคยสนทนากับเขาเกินสองประโยคเสียด้วยซ้ำ อยากจะรู้เช่นกันว่าข้าไปทำอันใดให้เขาเกลียดเข้า” ข้าตอบเสี่ยวเมิ่งไปตามจริง นึกเช่นไรก็นึกไม่ออก ว่าไปทำให้เขาไม่ชอบหน้าตอนไหน
เขาถึงได้มีทีท่าเหมือนรังเกียจ และไม่ชอบหน้าถึงขนาดนี้ แต่มาบัดนี้ข้าก็ไม่ชอบหน้าเขาด้วยเช่นกัน ขี้คร้านจะมาขบคิดเรื่องบุรุษเลวผู้นั้นให้เสียเวลาต่ออีก
ว่าแล้วก็ไปล้างหน้าบ้วนปาก นั่งปักรองเท้าน้อยๆ ให้ลูกก่อนนอน น่าจะดูเข้าท่ากว่าการเอ่ยถึงเขาให้เสียอารมณ์
และแล้วการเดินทางหกวันเต็มก็สิ้นสุดลง บรรยากาศในเรือค่อนข้างจะแปลกพิกลอยู่มาก ดูเหมือนความสัมพันธ์ที่ชื่นมื่นของเจี่ยเจียและพี่เขยจะมีปัญหาระหว่างกัน
แต่ถึงกระนั้น ข้าก็มิอาจเข้าไปสอดเรื่องชีวิตคู่ของพวกเขาทั้งสองได้ ทำได้เพียงส่งใจช่วยอยู่ห่างๆ เท่านั้น
ข้าก้าวเท้าลงเรือมาเพียงหนึ่งก้าวก็เจอสหายยืนคอยอยู่ด้านหน้าหนึ่งคน คือคุณหนูหลิงจู
“ซิงหนี่ว์ทางนี้ๆ!” หลิงจูโบกมือทักทายสหายที่ก้าวย่างช้าๆ ลงมาจากเรือ
“มิคิดว่าจะมาเจอเจ้าที่งานได้” ข้าเอ่ยทักทายนาง
“ติดตามท่านพ่อและท่านแม่ด้วยน่ะ อีกอย่างประเพณีล่าสัตว์ก็ขึ้นชื่อเลื่องลือ เรียกอีกอย่างว่าเป็นประเพณีจับคู่” หลิงจูยกมือป้องปาก เขยิบเข้าไปกล่าวกระซิบ
สำหรับสตรีถึงวัยออกเรือน สิ่งคำคัญคือต้องหาบุรุษที่เพลาแต่งงานออกไปแล้วนั้น จะได้เป็นหน้าเป็นตาให้แก่ตระกูล อุ้มชูสถานะไม่ให้อายพี่น้องและเครือญาติ
“เป็นเช่นนี้เอง” ข้าเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจ ยามนี้ไม่มีทางจะมองหาบุรุษที่ดีได้แล้ว สตรีมีมลทินยากจะแต่งเข้าไปในตระกูลดีๆ ได้
“ไฉนถึงกล่าวเช่นนี้…เจ้ามิดีใจรึ พวกเราก็เลยวัยปักปิ่นมาแล้วเกือบสองปี ถ้าผ่านไปอีกปีมีหวังท่านพ่อท่านแม่จับข้าแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ได้รักเป็นแน่” หลิงจูกล่าวเสียงเคร่งเครียด
“ดีใจ” ข้าตอบกลับสั้นๆ รักไม่รักไม่สำคัญอันใดสำหรับข้าแล้วในตอนนี้
“รีบเดินกันเถิด พวกเรามาช่วยกันแต่งกาย ยามค่ำมีงานเลี้ยง” หลิงจูคล้องแขนไป๋ซิงหนี่ว์ และพาเดินไปทางกระโจมตนเอง
ส่วนเสี่ยวเมิ่งได้แต่วิ่งตามคอยประคองคุณหนูรองอยู่ห่างๆ เกรงว่านางจะสะดุดล้มลงไป เพราะแรงฉุดลากของหลิงจู
“นี่ซิงหนี่ว์ เจ้าว่าคุณชายจิ้นสหายพี่สาวเจ้าเหมาะกับข้าหรือไม่ เมื่อหลายวันก่อนหน้านั้นท่านพ่อมาเล่าให้ฟังว่าเขาเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นซือจื๋อเชียวแหละ ยังหนุ่มอนาคตไกล และมิเคยมีเรื่องเสียๆ หายๆ ข้ามาลองคิดดู กลุ่มสี่บุรุษเจ้าสำราญก็ดี แต่ว่ามีแต่เรื่องอิสตรีให้ปวดหัวมากไปหน่อย” หลิงจูเอ่ยพลางประทินโฉมแต่งหน้าใหม่
กลุ่มสี่บุรุษเจ้าสำราญที่หลิงจูเอ่ยถึง คือกลุ่มสหายของพี่เขยข้านั่นเอง
“ซือจื๋อคือตำแหน่งอันใดรึ” ข้าเอ่ยถาม เพราะมิค่อยรู้นักว่าหน้าที่ราชการของขุนนางมีอันใดบ้าง และมิได้สนใจที่นางกล่าวมาเนิบยาว
“ซือจื๋อมียศเป็นปี้เอ้อเซี่ยนต้าน เป็นผู้ช่วยเสนาบดีดูแลเรื่องละเมิดกฎหมาย มีหน้าที่ตรวจสอบขุนนางตามที่ได้รับมอบหมาย ประมาณนั้น” หลิงจูจ้อขึ้นเสียงใสอย่างอารมณ์ดี
“หน้าที่การงานดูดีมีคุณธรรม ไฉนถึงขัดกับสันดอนของเขาไปได้” ข้าพึมพำขึ้นมาเบาๆ อย่างแปลกใจ นิสัยเลวทรามเช่นนั้นจะไปตรวจสอบผู้ใดได้
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลิงจูที่ได้ยินไม่ค่อยชัดเอ่ยขึ้น
“ข้าว่าเขาไม่น่าเหมาะกับเจ้า บุรุษดุดันเช่นนั้นมีแต่จะน่าเบื่อและอึดอัดเสียเปล่าๆ” ข้าเอ่ยตอบไปอีกทาง
“ดูมีเสน่ห์ดีออก อีกทั้งในภายภาคหน้าเขาจะขึ้นเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง หรือไม่ก็เสนาบดีฝ่ายขวา เมื่อไท่จื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ พอถึงครานั้น สตรีที่แต่งกับเขาก็จะได้ยศเป็นฮูหยินขั้นหนึ่งไปด้วย” หลิงจูตาเป็นประกายยามกล่าวถึงลาภยศในภายภาคหน้าของจิ้นฝาน ที่เป็นสหายคนสนิทซิ่นสือผู้เป็นไท่จื่อแคว้นซิ่น
มีหรือจะไม่ปูนบำเหน็จเลื่อนยศให้สหายตนเอง หากเทียบจิ้นฝานในแง่หน้าที่การงานและความก้าวหน้า ย่อมมองเห็นแสงสว่างมากกว่าสี่บุรุษเจ้าสำราญแห่งเมืองหลวงมากนัก
“จะดูอย่างไร ก็ไม่เห็นน่ามองตรงไหน เหตุใดเจ้าถึงมองเนื้อแท้คนมิออกกัน” ข้าเอ่ยขึ้น
“ลืมไปเสียเลยว่าเจ้าชอบบุรุษรูปงาม ผิวพรรณขาวเหมือนพี่เขยเจ้า คุณชายจิ้นที่คมเข้ม มีผิวสองสีจะเอาอันใดไปสู้ได้” หลิงจูตอบ
“ยามนี้ให้งามมากเพียงใด แต่มีนิสัยต่ำช้าข้าก็มิปรายตามองให้เสียสายตาหรอก” ข้าเชิดหน้าขึ้นโต้นางกลับ
มีที่ใดหลงบุรุษอื่นไม่เข้าข้างสหายตนเอง ข้าสู้อุตส่าห์เตือนนางทางอ้อม
“เจ้ากล่าวเหมือนรู้จักเขาดี” หลิงจูปรายตามองไป๋ซิงหนี่ว์เล็กน้อยก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมา
“กล่าวมากไปแล้ว มา ข้าจะทำผมให้” ข้าเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง เดินไปด้านหลังของนาง แล้วรับหวีจากเสี่ยวเมิ่งสางผมให้นาง
“กล่าวมากอันใด ข้าว่าเขาก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่มิน้อย อีกทั้งยังเป็นสหายคนสนิทของพี่สาวเจ้ากับไท่จื่อ ถึงแม้ว่าจะไม่รูปงาม แต่ความสามารถและหน้าที่การงานก็ชดเชยได้มิใช่รึ” หลิงจูสาธยายออกมาใหม่อีกรอบ
อนาคตก้าวไกล สตรีใดแต่งงานด้วยย่อมมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังมิได้แต่งทั้งอนุภรรยาหรือฮูหยินใหญ่ เรื่องคาวโลกีย์ก็ไม่มีให้เห็น ดูท่าจะเป็นบุรุษจำพวกเก็บตัว หรือไม่ก็ต้องเงียบขรึมไม่ฝักใฝ่มากราคะเหมือนบุรุษอื่นๆ ในเมืองหลวง หลิงจูคิดเช่นนั้น
