บทที่ 19 เสด็จอาเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
เมื่อเห็นลั่วกุหยุนมีท่าทางไม่อยากจะเชื่อเช่นนั้น
เย่จายซิงจึงอมยิ้มบางๆ แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า
“ใช่ของจริงหรือไม่ ท่านก็แค่ไปลองกลั่นดูก็รู้แล้ว สูตรยานี้ถือเป็นของตอบแทนที่ท่านช่วยตรวจชีพจรให้ข้ากับน้องชาย”
“จับชีพจรจำเป็นต้องตอบแทนมากมายขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าใจกว้างเกินไปหรือไม่ ข้าไม่อยากพูดกับเจ้าต่ออีกแล้ว ตอนนี้ข้าอยากจะทดลองกลั่นจะแย่แล้ว หากสูตรยาของเจ้าคือของจริง นับว่าเจ้าช่วยข้าได้มากมายนัก และข้าจะกลับมาขอบคุณเจ้าอีกแน่!”
พอกล่าวจบเขาก็วิ่งทะยานออกไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
ตอนที่เขากลับไป แม้แต่เจอจวินหยวนที่มาหาเย่จายซิงพอดี เขาก็ไม่ทักทายซักคำ
จวินหยวนหันไปมองตามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ จากนั้นจึงสั่งการพ่อบ้านว่า “คราวหน้าไม่ว่าใครมาเข้าพบพระชายาล้วนต้องรายงานให้ข้ารู้ทุกครั้ง”
“ขอรับ!”
พ่อบ้านรีบตอบรับคำ
“พระชายา ท่านอ๋องมาพบเจ้าค่ะ”
ซิ่งเอ๋อร์อ เอ้ยไม่ใช่ เจ้าแดงที่คอยเฝ้าอยู่ตรงบันไดของโรงเตี๊ยมตลอด เมื่อเห็นอ๋องเซ่อเจิ้งเดินมาก็รีบกล่าวรายงายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
นางถูกเปลี่ยนชื่อแล้ว ในใจของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจและอึกอัดใจ
เดิมทีนางตั้งใจว่าจะหาโอกาสหลอกล่ออ๋องเซ่อเจิ้ง แต่คิดไม่ถึงว่ามื้ออาหารลางวันและมื้อเย็น อ๋องเซ่อเจิ้งจะไม่มา อีกอย่างเย่จายซิงก็ไม่ชอบพานางไปด้วย
จะต้องเป็นเพราะเย่จายซิงอิจฉาที่นางเกิดมาสวยกว่านางแน่!
เจ้าแดงคิดไม่ถึงว่าอ๋องเซ่อเจิ้งจะมาหาเย่จายซิงดึกดื่นขนาดนี้ นางจึงแอบดึงคอเสื้อลงต่ำอย่างแนบเนียน จากนั้นตอนที่อ๋องเซ่อเจิ้งเดินมาถึงก็ตั้งใจก้มตัวลงทำความเคารพด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย
แต่ที่เหนือความคาดหมายคืออ๋องเซ่อเจิ้งไม่แม้แต่จะปรายตามองนาง เพียงก้าวเดินอาดๆ เข้าไป
นางรีบตามเข้าไป หวังจะดูแลอ๋องเซ่อเจิ้งให้ดี เพื่อให้เขาเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนาง จะดีที่สุดถ้าเขายอมรับในตัวนาง
ทว่าขณะที่อ๋องเซ่อเจิ้งเพิ่งก้าวเข้าไปด้านใน เขาก็ใส่กลอนประตูทันที เป็นการบอกให้รู้ทางอ้อมว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรับใช้
เจ้าแดงถูกกั้นเอาไว้ด้านนอกก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก และนางก็รู้สึกว่าสาวใช้สองสามคนกำลังแอบหัวเราะนางอยู่ นางจึงหันไปมองอย่างเกลียดชังพลางคิดในใจว่า พวกหญิงชั้นต่ำอย่างพวกเจ้ารอข้าก่อนเถิด รอให้ข้าเป็นพระชายาอ๋องเซ่อเจิ้งก่อน ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามีปากได้พูดอีกต่อไป และพวกเจ้าจะต้องนั่งคุกเข่าเช็ดรองเท้าให้ข้าทุกวัน!
“เสด็จอา ทำไมถึงมาได้ล่ะเจ้าคะ ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่เหมาะเท่าไหร่ที่ท่านจะมา”
เย่จายซิงเห็นจวินหยวนมาก็ได้แต่ขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ และนึกถึงเรื่องราวที่เขาเคยทำกับนางก่อนหน้านั้น
“ข้ามาเพื่อทำความคุ้นเคยกับเจ้า”
จวินหยวนกล่าวอย่างวางอำนาจแล้วนั่งลงบนเก้าอี้นอนยาว “มานี่ มานั่งข้างๆ ข้า”
เย่จายซิงส่ายหน้าแบบขัดขืน “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ไป เสด็จอา พฤติกรรมของท่านคราวก่อนไม่ใช่สุภาพชนเอาเสียเลย ข้าไม่ชอบเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว ข้าบอกว่าจะทำอะไรเจ้างั้นหรือ อีกอย่างเจ้าจะปากกับใจไม่ตรงกันไม่ได้ ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ พลางมองไปที่นางอย่างลึกล้ำ การกล่าวอย่างเย็นชาเพื่อเป็นการเน้นย้ำว่านางคิดมากเกินไป
เย่จายซิงหน้าแดง นางสู้ไม่ได้ นางก็ต้องดื่มด่ำไม่ใช่หรือ
แต่เขากลับกล้าเอามาพูด น่ารังเกียจยิ่ง!
“เวลาก็ดึกมากแล้ว เสด็จอารีบกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”
นางยืนนิ่งพลางกล่าวออกมา
จวินหยวนหันมามองนางแล้วกล่าวอย่างลึกซึ้งว่า “มานี่ เป็นเด็กดีหน่อย ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
ความหมายที่นอกเหนือจากคำพูดคือ หากนางไม่เชื่อฟังก็อาจจะไม่เป็นไปตามนั้น
เย่จายซิงขบฟันแน่น คนเราเมื่ออยู่ใต้คนมีอำนาจก็จำเป็นต้องก้มหัว นางก้าวอาดๆ เข้าไป แล้วนั่งลงด้านข้างเขา
เขาพอใจมากที่นางเชื่อฟัง ริมฝีปากบางๆ ของเขาจึงหยักยิ้มขึ้นและกล่าวกับนางต่อไปว่า “คราวก่อนเจ้าบอกใช่ไหมว่าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง”
เย่จายซิงเบิกตากว้าง เขาหมายความว่าอย่างไร เตรียมจะเปิดหน้าให้นางดูงั้นหรือ
แต่ในแคว้นหงส์แดงแห่งนี้ใครบ้างที่ไม่รู้ว่า หน้ากากภูเขาน้ำแข็งของอ๋องเซ่อเจิ้งนั้นหากใครแตะต้องจะต้องตาย ไม่มีใครเคยเห็นว่าหน้าตาที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร บางทีอาจจะเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์หาใดเปรียบ สรุปแล้วก็คือโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นเรื่องลึกลับในเมืองหลวง แต่ตอนนี้เขากลับจะยอมให้นางได้เห็น?
ไม่ใช่ว่าพอนางเห็นแล้วจะโดนฆ่าปิดปากใช่หรือไม่
“ทำไมรึ ไม่กล้าดูอย่างนั้นรึ หรือกลัวว่าข้าจะให้เจ้าใช้ร่างกายตอบแทน”
จวินหยวนหรี่ตาลงแล้วมองนางด้วยแววตาอันตราย
เย่จายซิงนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนถนนวันนั้น เขาบอกว่าจะให้ตนใช้ร่างกายตอบแทน แต่นางเคยบอกกับเขาเอาไว้ว่า เขาต้องถอดหน้ากากออกก่อนแล้วนางถึงจะพิจารณาข้อเสนอของเขาอีกที กลายเป็นว่าเขาจำเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ
นางอยากรู้ว่าโฉมหน้าของเขาเป็นอย่างไร อ๋องเซ่อเจิ้งผู้มีอำนาจเหนือราชสำนักผู้ลึกลับ ผู้ใส่หน้ากากสีทองตลอดทั้งวัน ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ใครได้เห็น ใบหน้าภายใต้หน้ากากนี้แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่
เย่จายซิงเป็นคนมีความกล้าหาญ บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องที่นางไม่กล้าทำ
ในเมื่อเขายอมให้นางดู แล้วทำไมนางจะไม่ดูเล่า!
ส่วนเรื่องใช้ร่างกายตอบแทนนั้น นางบอกว่าจะพิจารณาอีกที ไม่ได้หมายความว่านางจะรับปาก
“ดู ในเมื่อท่านให้ข้าดู แน่นอนว่าข้าต้องอยากดูแน่”
นางกล่าวพลางสบตากับแววตาล้ำลึกของเขา
“ตกลง อย่างนั้นน้องซิงก็เป็นคนถอดมันออกแทนข้าก็แล้วกัน”
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้
เย่จายซิงยื่นมือทั้งสองข้างออกไป แล้วค่อยๆ ดึงหน้ากากออกจากทั้งสองฝั่งอย่างช้าๆ
ค่อยๆ เลื่อนจากบนลงล่าง เริ่มแรกนางเห็นจมูกโด่งเป็นสันของเขาก่อน จากนั้นจึงเป็นดวงตาล้ำลึกและคิ้วเข้ม
นางกลืนน้ำลายอย่างไม่ทันระวังตัว
ความหล่อเหลาของเขาไม่อาจจะหาใดเปรียบเทียบได้ หน้ากากเป็นสิ่งที่ผนึกโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเอาไว้ เดิมทีคางและริมฝีปากที่เขาเปิดเผยให้คนภายนอกได้เห็นก็งดงามสมบูรณ์แบบมากแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นอวัยวะแต่ละส่วนพร้อมๆ กัน เมื่อมองทุกอย่างทีละส่วนก็จะเห็นความหล่อเหลาอย่างไร้คู่ต่อกร พร้อมทั้งความสง่างามสูงส่งและเด็ดเดี่ยว ทั้งยังให้ความรู้สึกมีอำนาจราวเทพที่ลงมาจากสวรรค์
ชาติก่อนนางมีโอกาสได้เห็นชาติรูปงามมาไม่น้อย แต่ไม่มีใครเลยที่โฉมหน้าเทียบเคียงกับเขาได้ อวัยวะทุกส่วนของเขาสมบูรณ์แบบและประณีต ทั้งยังดูมีบารมี ดวงตาของเขาดูล้ำลึกราวกับหุบเหวที่ยากจะหยั่งถึง มืดมนและห่างไกล ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเข้าถึง เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดูอันตรายและมีเสน่ห์ดึงดูด
นางนึกย้อนถึงเหตุการณ์ตอนที่นางเห็นรูปร่างที่สวยงามสมบูรณ์ของเขา เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่หล่อเหลาสยบคู่ต่อกรเช่นนี้แล้ว ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
“น้องซิงชอบหรือไม่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของจวินหยวนทำให้นางหลุดออกมาจากความทรงจำเมื่อวาน
เย่จายซิงกระแอมคอ และจงใจกล่าวออกไปว่า “เสด็จอารูปโฉมงดงามเพียบพร้อม ทำให้ข้ารู้สึกละอายในตัวเอง ข้ามีหน้าตาขี้เหล่ขนาดนี้ ข้าไม่กล้าแม้แต่จะนั่งเคียงข้างเสด็จอาด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าสวยหรืออัปลักษณ์ ข้าตามหาเจ้ามาเจ็ดปีแล้ว ในที่สุดก็ตามหาเจ้าพบ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่มีทางยอมแพ้”
เขากล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว แววตาของเขาล้ำลึกเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้กำลังล้อนางเล่น
“เจ็ดปี? ท่านจำผิดแล้วกระมัง เมื่อเจ็ดปีก่อน ข้าเพิ่งจะมีอายุได้เพียงเก้าขวบเท่านั้น ตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ!”
ปฏิกิริยาแรกที่เย่จายซิงได้ยินคำพูดนี้คือบอกว่าเขาจำคนผิด
“ใช่หรือไม่ใช่เจ้า ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”
เย่จายซิง ……
“ดังนั้นตอนที่ข้าอายุเพียงเก้าปี ท่านก็ชอบข้าแล้วหรือ”
คราวนี้เป็นจวินหยวนบ้างที่ไร้คำพูด
เขาดูเป็นคนที่ตะกละจนไม่เลือกอาหารอย่างนั้นหรือ
เขารู้ว่าหากไม่อธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน นางจะต้องเข้าใจผิด จวินหยวนจึงหยิบแหวนที่แขวนเอาไว้ที่คอออกมา
นาทีที่เขาหยิบออกมา สีหน้าของเย่จายซิงก็มีแต่ความพิลึกพิลั่น “ท่านมีเแหวนวงนี้ได้อย่างไร!”
นางคุ้นเคยกับแหวนโบราณเป็นอย่างดี นางเพียงแวบเดียวก็จำได้แล้ว ด้านบนของแหวนของจวินหยวนมีรอยสลักโบราณขนาดเล็กมากแบบเดียวกับของนางไม่มีผิดเพี้ยน