บทที่ 4 กัดฟัน คุกเข่าลง
ฉินเทียนที่รีบออกมาข้างนอก ก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่เล็กน้อย
สุดท้ายหยางยู่หลันก็ไม่ได้รอเขาอยู่ที่นี่
ห้าปีที่ผ่านมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เขาสาบานเลยว่าจะต้องหาสาเหตุให้ชัดเจนให้ได้ !
หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน
ก็มีนักข่าวสาวจากรายการ《เสี่ยวฟางสานน้ำใจ》มายังห้องผู้ป่วย
ที่แท้ก็เป็นหญิงชาวบ้านที่ก่อนหน้านั้นไร้หนทาง เลยโทรไปขอความช่วยเหลือ
หวางกุ้ยหลันอุ้มลูกชายที่เพิ่ง “ฟื้นจากความตาย” เอาไว้ และเล่าถึงสถานการณ์อย่างตื่นเต้น
นักข่าวสาวนามหลี่ฟาง เธอฉลาดพอที่จะรู้ว่าข่าวนี้มันมีค่า
แต่ถึงแม้ว่าหวางกุ้ยหลันจะอยู่ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เพราะว่าในใจของเธอห่วงแค่ลูกของตนเอง จึงไม่ได้สนใจสิ่งอื่นเลย
ดังนั้นเธอก็เลยไม่รู้ชื่อของฉินเทียน
เมื่อทำอะไรไม่ได้ หลี่ฟางจึงต้องไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ
ออฟฟิศผู้อำนวยการขณะนั้น
ประตูและหน้าต่างถูกปิดมิดชิด หม่ายงที่กำลังต่อสายคุยโทรศัพท์อย่างระมัดระวัง
“อะไรนะ คุณพูดว่า คนนั้นใช้กุ่ยเหมินสิบสามงั้นเหรอ ?”น้ำเสียงตื่นเต้นดังลอยออกมาจากโทรศัพท์
“ผู้อำนวยการหม่า คุณนี่โชคดีจริงๆ !”
“ควรรู้ไว้นะว่า คนที่เห็นคนคนนั้นใช้กุ่ยเหมินสิบสามกับตาน่ะ มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ……”
“อย่ามาถามผม ผมก็แค่โชคดีที่ตามเขาไปเท่านั้น”
หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ หวางโป๋เหนียนก็ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่:
“คุณเตรียมตัวให้พร้อม สมาคมการแพทย์ของพวกเราจะไปเปิดสาขาที่เมืองเจียงหลงของพวกคุณ”
“เมื่อถึงเวลานั้นผมจะไปด้วยตนเอง”
“จำคำของคนคนนั้นไว้ด้วย เรื่องเกี่ยวกับเขาน่ะต้องพูดอย่างระมัดระวัง”
หลังจากวางสาย หม่ายงยังคงตกอยู่ในความตะลึงไปพักใหญ่ จนกระทั่งถูกเสียงเคาะประตูปลุกให้ตื่นจากภวังค์
“เป็นความจริงที่มียอดคน ใช้เทคนิคการฝังเข็ม รักษาผู้ป่วยเด็กอาการโคม่า……”
“ส่วนข้อมูลของเขานั้น นักข่าวหลี่ คุณก็รู้ดีว่า ยอดคนต่างก็เหมือนกันเทพมังกรที่เผยหัวแต่ไม่เห็นหาง……ฉันก็ไม่มีข้อมูลอะไรเหมือนกัน”
หลี่ฟางที่ผิดหวัง รู้สึกว่าตนเองนั้นพลาดข่าวใหญ่ไปเสียแล้ว
แต่ก็ไม่มีทางเลือก เธอยังคงโพสต์ข้อความลงในคอลัมน์บนอินเทอร์เน็ต
เมื่อเป็นข่าว ก็ย่อมถูกคนสนใจ
ไม่นาน ข่าวก็แพร่กระจายไปในแวดวงอย่างลับๆ ทั่วประเทศและแม้กระทั่งทั่วโลก
“ต้องเป็นราชาเทพแน่นอน ! ต้องเป็นกุ่ยเหมินสิบสามแน่ๆ !”
“เร็วเข้า เตรียมเครื่องบินซะ ฉันจะบินไปหลงเจียงเดี๋ยวนี้ !”
เศรษฐีในตะวันออกกลาง ยักษ์ใหญ่จากทั้งยุโรปและอเมริกา คนใหญ่คนโตทั้งหลาย ต่างก็รีบร้อนดาหน้าเข้ามา
พวกเขามีเพียงจุดประสงค์เดียว นั่นก็คือขอให้ท่านราชาเทพช่วยรักษาโรคให้
ภายในประเทศ เทพสงครามแดนเหนือ ผู้นำเขี้ยวมังกร ตระกูลขุนนางฮวงจุ้ย บอสใหญ่จิวเวอรี่ ราชินีทุนนิยม……ต่างก็กำลังขบคิดหาแผนการเพื่อที่จะเข้ามาในหลงเจียง
พวกเขาก็เหมือนกับหวางโป๋เหนียน ต่างก็เป็นลูกน้องของฉินเทียน
โครงการหลงเจียง คือการหวังว่าเมื่อใดก็ตามที่ฉินเทียนต้องการ จะสามารถให้ความร่วมมือไปได้บ้าง
สำหรับพวกเขาแล้ว มันคือเกียรติยศอันสูงสุด
โลกโกลาหลเป็นเพราะว่าฉินเทียน
เมืองเล็กอันเงียบสงบอย่างหลงเจียงแห่งนี้ กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาโชติช่วง
เมื่อยืนอยู่ข้างนอกบ้านในชุมชนเก่า ฉินเทียนรู้สึกว่ามันค่อนข้างรกร้างว่างเปล่าเลยทีเดียว
“คุณแม่ครับ”
“ผมรู้ว่าเป็นเพราะผม ที่นำความลำบากมากมายมาให้ซูซูกับคุณแม่”
“ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว”
“ได้โปรดบอกผมเถอะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ผมสัญญา ไม่เพียงแต่จะรักษาโรคของซูซูให้หาย ผมจะทำให้คนที่รังแกพวกคุณได้ชดใช้เป็นสิบเท่า !”
เงียบงัน
หยางยู่หลันเหมือนจะใจแข็งที่จะตัดความสัมพันธ์กับฉินเทียน
เมื่อฉินเทียนนึกถึงสภาพของซูซู ใจก็เหมือนถูกมีดกรีด
“คุณแม่ครับ ได้โปรดให้โอกาสผมอีกสักครั้ง !”
กัดฟัน คุกเข่าลง !
ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายมีค่าดั่งทอง ไม่อาจคุกเข่าให้ใครได้ง่ายๆ
ชายผู้ที่ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน กำลังก้มศีรษะอันทะนงตนของตัวเอง !
หากหยางยู่หลันไม่ยกโทษให้ เขาก็จะไม่ลุกขึ้น !
เวลาผ่านไปรวดเร็ว
หยางยู่หลันเห็นว่าข้างนอกไม่มีเสียงอะไร ก็คิดว่าฉินเทียนจากไปแล้ว
เมื่อเปิดประตูห้อง ก็เห็นฉินเทียนคุกเข่าอยู่หน้าประตู เธอจึงตกใจเป็นอย่างมาก
“เข้ามาเถอะ”
ฉินเทียนเดินเข้าห้อง ก็เห็นว่ามันเป็นสถานที่เล็กและทรุดโทรม พอเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถเข็นอย่างไร้ชีวิตชีวา รวมถึงแม่ยายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขาก็รู้สึกเศร้าเกินทน
ใครจะไปคิดว่า เมื่อห้าปีก่อน ผู้หญิงสองคนนี้จะเคยเป็นแม่ลูกที่คนทั้งหลงเจียนอิจฉามากที่สุด
“เป็นใครกัน ?!” นัยน์ตาของเขาปรากฏไอสังหารออกมา
หยางยู่หลันส่ายหัว เหมือนว่าพลังของอีกฝ่ายจะทำให้เธอกลัวมา แม้แต่จะพูดยังไม่กล้าเอ่ยปาก
“วันนี้คือเทศกาลไหว้พระจันทร์ นายกลับมาแล้ว ฉันจะให้ขนมไหว้พระจันทร์นายก็แล้วกัน”
“ถ้านายอยากจะอยู่ที่นี่จริงๆ ก็อย่าก่อเรื่อง ช่วยฉันดูแลซูซูดีๆ ล่ะ”
“ถ้าวันหนึ่งเธอสามารถลุกขึ้นได้ ฉันจะยกเธอให้เป็นภรรยาของนาย”
“แต่ความหวังมันก็ช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน แม้แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่า……”
“ถ้านายทำได้ กินขนมเสร็จก็ออกไปเถอะ พวกเราก็ไม่ติดค้างอะไรกันแล้ว
“อีกอย่าง การที่ใช้ชื่อของหวางโป๋เหนียนเจ้าสมาคมการแพทย์เพื่อทำให้ผู้อำนวยการระดับเมืองเกรงกลัว เรื่องนี้น่ะถึงแม้ครั้งนี้จะใช้ได้ผล แต่ฉันเชื่อว่าในไม่ช้าพวกเขาต้องรู้แน่”
“ท้ายที่สุดจะไม่ได้มีแค่นายที่โชคร้าย แต่มันรวมถึงพวกเราด้วย”
“ต่อไปอย่าใช้มุกนี้อีกล่ะ”
เธอไม่เชื่อว่าฉินเทียนจะมีอำนวจมากมายที่จะสามารถสั่งเจ้าสมาคมการแพทย์อย่างหวางโป๋เหนียนได้
ฉินเทียนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง เสียงทุบประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับถูกผลักเข้ามา
“หวางยู่หลัน จ่ายค่าห้องได้แล้ว !”
“อุ๊ย ในบ้านมีผู้ชายอยู่ด้วยหรือนี่ !”
ผู้นำหน้าไอ้หัวเหลืองกับผู้ชายอีกสองสามคน แย้มยิ้มแล้วเดินเข้ามา
เมื่อเห็นฉินเเทียน พวกเขาก็ขยิบตาให้
ไอ้หัวเหลืองเอ่ย: “หยางยู่หลัน ไม่อย่าจะเชื่อเลยว่าอายุปูนนี้แล้วยังจะมีไอ้หนุ่มหน้ามนมาติดอีก”
“ดูเหมือนว่าคนแก่แต่หัวใจไม่แก่สินะ”
แล้วพวกคนกลุ่มนั้นก็พากันหัวเราะออกมา
หยางยู่หลันที่ได้ยินคำพูดไร้ยางอายพวกนั้น ทั้งโกรธทั้งอายจนหน้าแดงก่ำ
เธอเอ่ยด้วยความโกรธเคือง: “ไอ้หัวเหลือง แกอย่าพูดไปทั่ว !”
“นี่คือฉินเทียน สามีของลูกสาวฉัน !”
“สามีของลูกสาวคุณ ?” ไอ้หัวเหลืองมองไปยังซูซูที่ไร้ชีวิตชีวาอยู่บนรถเข็น จากนั้นก็หัวเราะออกยกใหญ่
“เจ้าคนแซ่ฉิน เมียแกมันขยับไม่ได้แล้ว จะมีประโยชน์อะไรอีก ?”
ใบหน้าฉินเทียนไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงเย็น: “แกมาเก็บค่าเช่าห้อง ?”
“แกจะจ่ายแทนพวกมันงั้นเหรอ ?” ไอ้หัวเหลืองตาเป็นประกาย
ฉินเทียนพยักหน้า: “พวกเราไปคุยกันข้างนอก”
ไอ้หัวเหลืองยิ้มกว้าง: “ไอ้หนู เอ็งอย่ามาเล่นกลกับฉันจะดีกว่า ไม่งั้นฉันจะทุบหัวสุนัขอย่างแก แล้วเอาเมียแกไปเร่ขายซะ”
“นำไปสิ !”
“แม่ครับ ดูแลซูซูด้วย เดี๋ยวผมกลับมา” ฉินเทียนเอ่ยปลอบใจ และตามคนพวกนั้นจากไป พอมาถึงบริเวณชายป่าเล็กๆ ภายนอก
“คำสั่งของคุณชายซู ช่วงไม่กี่ปีมานี้ค่าเช่ารวมทั้งหมด ห้าแสน”
“ถ้าวันนี้ไม่จ่าย พวกแกก็ย้ายออกไปได้เลย !”
ไอ้หัวเหลืองแสยะยิ้ม
คุณชายซู ?
หัวใจฉินเทียนกระตุก
เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของไอ้หัวเหลือง ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ได้ยินเสียงกระดูกหักดังชัดในอากาศ
ไอ้หัวเหลืองกรีดร้องปานหมูถูกเชือด ล้มลงกับพื้น
ฉินเทียนเหยียบหัวเขาเอาไว้พร้อมเอ่ยเสียงเย็น: “ใครคือคุณชายซู ?”
ไอ้หัวเหลือหวาดกลัว ไม่คิดว่าฉินเทียนที่ดูสงบๆ จะโหดร้ายไร้ความปรานีอย่างนี้
“พวกแกมัวยืนเฉยทำอะไร ? จัดการเขาสิ !”
“ฆ่ามันซะ !”เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง