บทที่ 3
ผมถือจานข้าวมานั่งทำหน้างองุ้มที่โต๊ะตัวเดิม พวกพี่ๆ ต่างก็จ้องมองมาราวกับมีคำถามมากมายในใจ
“ผมรู้แล้วว่าเรื่องอะไร”
“เรื่องอะไรว่ามาเร็วๆ พวกฉันรอฟังอยู่” พี่ครีมเจ้าเก่าชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ราวกับอยากฟังซะเต็มประดา
“เมื่อวานที่พี่ครีมให้ผมเอาเอกสารไปให้บอส ผม...บอกชอบเขาด้วยอ่ะ” สารภาพให้ทุกคนฟัง แม้พวกนางจะรู้อยู่แล้วว่าผมชอบบอส แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะใจกล้าถึงขนาดนี้
“ห๊ะ! / ห๊ะ! / ห๊ะ! / ห๊ะ!”
สาวโสดทั้งสี่อุทานขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“เบาๆ สิครับคนมองกันใหญ่แล้ว”
“อย่างนี้สิน้องฉันรุกให้เต็มที่เลย ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที” หลังจากปรับสภาพสีหน้าได้แล้วพี่ครีมก็นำทีมยกนิ้วให้ ยกย่องให้กับความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว (ที่ค่อนข้างจะบ้าบิ่น)
“ผมทำดีแล้วใช่ไหมครับ”
“แน่นอน...ใครจะว่ายังไงก็ช่างอย่าได้สน เพราะพวกหล่อนๆ เองก็อยากได้บอสจนตัวสั่นเหมือนกันนั่นล่ะ” พี่ฉวีสนับสนุนอย่างเต็มที่
“แกต้องเป็นตัวแทนลบล้างคำสาปของสาวบัญชีนะ ห้ามขึ้นคานเด็ดขาด!” พี่ครีมเอ่ยกับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ครับ...ยิ่งได้เสียงสนับสนุนจากพวกพี่ผมยิ่งมีแรงฮึดสู้ แต่ว่า...”
“แต่อะไรยะ” พี่แอนขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
“ทำไมบอสต้องเอาเรื่องนี้มาประจานผมด้วยอ่ะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เขาเกลียดผมถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“แกแน่ใจนะว่าบอสเป็นคนทำ”
“ถ้าไม่ใช่บอสจะใครล่ะ ก็วันนั้นมีผมกับเขาอยู่ในห้องแค่สองคน”
“คนอย่างบอสเนี่ยนะจะมาเล่นอะไรบ้าๆ อย่างนี้ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” สีหน้าของพี่ครีมดูก็รู้ว่าไม่มีทางเชื่อ ว่าเรื่องพวกนี้จะออกมาจากปากบอส แต่ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ
“แต่ผมมั่นใจว่าต้องเป็นบอส พี่ครีมคิดว่าผมจะเป็นคนพูดเองเหรอ มันเป็นไปไม่ได้”
“ก็จริงของแกอ่ะ แต่ก็ช่างมันเถอะรีบกินดีกว่ากับข้าวเย็นหมดแล้ว”
ผมนั่งทานข้าวในหัวก็คิดเรื่องบอสไปด้วย มั่นใจว่าต้องเป็นเขาแน่นอน ยืนยัน นอนยัน นั่งยัน ไม่มีทางผิดไปจากนี้แน่นอน และต้องถามให้รู้เรื่องว่าเขาทำไปทำไมกัน
.....
หลังเลิกงานแล้วผมก็รีบเก็บของเข้ากระเป๋าเดินลงไปที่โรงจอดรถ วันนี้จะต้องหาทางคุยกับบอสให้รู้เรื่องให้ได้ว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม แต่อีกหนึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อจะได้อยู่ใกล้ มันคือหนึ่งในแผนตีสนิทกับเจ้านายสุดหล่อนั่นเอง
ผมแอบซุ่มอยู่ข้างรถบอส เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเปิดประตูรถแล้วจึงรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับทันที และโชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น
“เฮ๊ย! นายเข้ามานั่งในรถฉันทำไมเนี่ย” เขาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ จู่ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมานั่งในรถด้วยก็คงจะตกใจเป็นธรรมดา
“ผมมีเรื่องจะคุยกับบอสครับ” ผมไม่ยอมลงจากรถแถมยังคาดเข็มขัดนิรภัยอีกด้วย
เขาชักสีหน้าใส่จ้องเขม็งมาราวกับรังเกียจผมซะเต็มประดา
“ลง-ไป-เดี๋ยว-นี้ มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ ฉันไม่ได้ใจดีตลอดหรอกนะ” เขาเอ่ยเสียงเข้มเพื่อกดดันให้ลงไป
“ก็ผมบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับบอสยังไงล่ะ ไม่ลงจนกว่าจะได้คุยให้รู้เรื่อง”
“ฉันไม่เคยพบเคยเจอคนหน้าด้านอย่างนายมาก่อนเลย ไม่ลงใช่ไหมเดี๋ยวได้เห็นดีกัน”
สีหน้าของบอสดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็เร่งเครื่องเสียงดังก่อนจะขับออกไปจากรั้วบริษัท
.....
ผมได้แต่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นยังไม่กล้าเอ่ยอะไร เพราะกลัวว่าจะไปกระตุกต่อมโมโหเขาให้ปะทุขึ้นอีก กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะเขาขับรถด้วยความเร็วราวกับกำลังแข่งในสนามก็ไม่ปาน
“บอสลดความเร็วหน่อยได้ไหมครับผมกลัว” นั่งหลับตาพนมมือภาวนาในใจขออย่าให้รถไปชนกับอะไรเลย
“อยากนั่งนักไม่ใช่เหรอฉันจะจัดให้” เขายังไม่ยอมลดดีกรีความโมโหร้ายลงเลยสักนิด นี่ผมทำเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ตั้งใจจะมาอ่อยกลายเป็นว่ามายั่วโมโหเขาซะงั้น
“ผมลงก็ได้ครับจะ...จอดให้ผมเถอะนะ” พยายามเอ่ยขอร้องเขา ขับรถเร็วขนาดนี้ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว
“อ้าว! กลัวเป็นด้วยเหรอ จำเอาไว้ว่าคราวหลังอย่ามาถือวิสาสะปฏิบัติตัวอย่างนี้กับฉันอีกหึๆ”
เอี๊ยดดดด!!!
ปึก!
“โอ๊ยยย!!!! จะจอดทำไม่บอกกันก่อนเนี่ย”