บทที่ 28 แกล้งหลอกเป็นผี
ทันทีที่คำพูดจบลง ตำรวจทั้งสิบสองนายที่กำลังฮึกเหิมอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบยกกระบองไฟฟ้าขึ้น หมายจะเล่นงานเย่เฉิงเฟิงให้อยู่หมัดภายในรอบเดียว
แต่ทว่า ก่อนที่กระบองไฟฟ้าของพวกเขาจะฟาดลงมา ร่างของเย่เฉิงเฟิงก็หายไปอย่างลึกลับ
“คนล่ะ?”
เฉียวเจิ้นคุนกับพรรคพวกถึงกับตะลึง มองซ้ายมองขวา แต่ก็หาเงาของเย่เฉิงเฟิงไม่เจอเลย ราวกับหายไปจากโลกนี้
“เอี๊ยด”
เสียงประหลาดดังขึ้น ทำให้เฉียวเจิ้นคุนกับพรรคพวกสะดุ้งโหยงทันที
“ผีหลอก!”
ตำรวจนายหนึ่งร้องลั่นด้วยความกลัว รีบถอยหนีไปชิดมุมผนังทันที
“ผีเผออะไร? อย่าพูดเพ้อเจ้อ!”
เฉียวเจิ้นคุนตำหนิเสียงเข้ม
“เก้า...เก้าอี้!”
ตำรวจคนนั้นชี้ไปที่เก้าอี้ด้วยความตื่นตระหนก “เมื่อกี้เก้าอี้มันขยับ”
“พูดเหลวไหล! เก้าอี้อยู่ดี ๆ จะขยับได้ยังไง?”
คำพูดของเฉียวเจิ้นคุนยังไม่ทันจบดี เก้าอี้ที่วางอยู่บนพื้นกลับลอยขึ้นมาอย่างประหลาด แล้วเริ่มส่ายซ้ายทีขวาทีอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ถ้าเวลานี้มีใครสามารถมองทะลุการล่องหนได้ล่ะก็ คงจะเห็นว่าแท้จริงแล้วเป็นเย่เฉิงเฟิงที่กำลังถือเก้าอี้แกว่งไปมาเท่านั้นเอง
แต่น่าเสียดายที่เฉียวเจิ้นคุนกับพรรคพวกไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนผู้ยิ่งใหญ่ จึงมองไม่เห็นศาสตร์เวทล่องหนของเย่เฉิงเฟิง
ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนี้จึงน่าขนลุกเกินจะทน หลายคนถึงกับตกใจจนวิญญาณเตลิด ตัวสั่นงันงก หน้าซีดเผือด
“โครม!”
จู่ ๆ เก้าอี้ก็ล้ม ทุกอย่างเงียบสงัด
แต่ในห้องสอบสวน กลับเริ่มมีกลิ่นปัสสาวะโชยตลบอบอวลไปทั่ว
เฉียวเจิ้นคุนกับพรรคพวกมองซ้ายมองขวา สุดท้ายสายตาก็หยุดที่ตำรวจร่างเตี้ยคนหนึ่ง
เห็นเพียงเขาตัวสั่นพิงกำแพง มือหนึ่งถือกระบองไฟฟ้า อีกมือหนึ่งจับกางเกงไว้แน่น แทบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“ไอ้ไร้ประโยชน์เอ๊ย กลัวจนฉี่ราดได้ยังไง”
เฉียวเจิ้นคุนเอ่ยด่าอย่างกลั้นไม่อยู่
“ผ...ผู้กำกับ ม...มีผี...กำลังถอดกางเกงผมครับ”
ตำรวจร่างเตี้ยคนนั้นขาสั่นระริก
เป็นไปตามคาด พอได้ยินเขาพูดเตือน พวกเฉียวเจิ้นคุนก็พบว่าเข็มขัดของตำรวจคนนั้นถูกปลดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ตอนนี้กางเกงของเขากำลังค่อย ๆ หล่นลงมา แม้ว่าเขาจะดึงไว้แน่นแล้วก็ตาม แบบนี้ไม่ใช่ผีถอดกางเกงแล้วจะเป็นอะไรได้?
ภาพนั้นทำให้เฉียวเจิ้นคุนกับพรรคพวกขนลุกพร้อมกัน ต่างคนต่างถอยห่างจากตำรวจตัวเตี้ยคนนั้น
บางคนที่ขี้ขลาดยิ่งกว่า ถึงขั้นจะเปิดประตูหนีออกไปเลย
แต่ว่าต่อให้พยายามเปิดแรงแค่ไหน ประตูห้องสอบสวนก็เปิดไม่ออก
ในตอนนั้น บรรยากาศน่ากลัวสยองขวัญแผ่ซ่านไปทั่วห้องสอบสวนแคบ ๆ จนเฉียวเจิ้นคุนกับพรรคพวกไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่น้อย
“ดูบนผนังเร็ว! มีเลือด!”
จู่ ๆ ก็มีคนร้องลั่นด้วยความตกใจ เห็นแค่ผนังที่ขาวโพลนในตอนแรก จู่ ๆ ก็ปรากฏรอยเลือดแดงฉานขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ท่าทางที่มันไหลลงมาช้า ๆ แบบนั้น ถึงกับทำให้หัวใจคนดูแทบจะกระเด็นออกจากอก
ไม่นานนัก รอยเลือดแดงฉานบนผนังก็รวมตัวกันเป็นตัวอักษรหนึ่งคำ
ฆ่า!
"แม่งเอ๊ย ใครกินเกี๊ยวนึ่งตอนเช้าแล้วเอาซอสมะเขือเทศมาทิ้งไว้ตรงนี้วะ?"
แม้ว่าเฉียวเจิ้นคุนจะร้ายกาจ แต่ตำแหน่งผู้กำกับของเขาก็ได้มาด้วยความสามารถจริง ๆ
ด้วยสายตาเฉียบคมของนักสืบ เขาก็มองออกว่าอักษร “ฆ่า” สีแดงนั้นไม่ใช่เลือดจริง จึงรวบรวมความกล้าเข้าไปแตะดู จากนั้นก็ลองดม สุดท้ายสรุปได้ว่าเป็นซอสมะเขือเทศ
“ฟ...ไฟไหม้”
มีอีกคนร้องอุทานด้วยความตกใจ
เห็นเพียงชายเสื้อของตำรวจร่างสูงคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ติดไฟขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
กลิ่นเหม็นไหม้ของเสื้อผ้าที่ถูกไฟเผานั้น โชยมาหาเฉียวเจิ้นคุนและพรรคพวก จนพวกเขาพากันร้องลั่นวิ่งหนีกระจัดกระจาย
“ผ...ผู้กำกับ ช่วยผมด้วย!”
ตำรวจคนนั้นที่เสื้อไฟไหม้อยู่ก็ยังวิ่งพล่านไม่หยุด ทำให้เฉียวเจิ้นคุนและพรรคพวกถอยหนีแทบไม่ทัน
เดิมทีห้องสอบสวนก็เล็กอยู่แล้ว พอมีผู้ชายสิบกว่าคนวิ่งวุ่นชนกันแบบนี้ อย่าให้พูดเลยว่ามันวุ่นวายแค่ไหน
“ไอ้พวกสารเลว กล้าดียังไงถึงได้รังแกคนขนาดนี้!”
ตอนนั้นซ่งหย่าลี่ก็มาถึงสถานีตำรวจซื่อหลี่แล้ว จากนั้นก็รีบพุ่งตรงไปยังห้องสอบสวนทันที
ทันทีที่เธอได้ยินเสียงดังโครมครามจากในห้องสอบสวน ก็สั่งการคนขับรถด้วยความเดือดจัด
“ปัง!”
คนขับรถของเธอไม่พูดพร่ำทำเพลง ถีบเปิดประตูห้องสอบสวนทันที
“พวกแกบังอาจนัก! กล้าดียังไงถึงใช้ความรุนแรงกับผู้บริสุทธิ์!”
ซ่งหย่าลี่กวาดตามองสภาพโกลาหลในห้องสอบสวน ก่อนจะโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงราวกับสายฟ้าฟาด
แต่เดิมเธอคิดว่ามีแค่ไม่กี่คน คาดไม่ถึงว่ามีตั้งสิบกว่าคน ต่อให้เย่เฉิงเฟิงจะเก่งแค่ไหน ก็คงต้านทานการทรมานแบบนี้ไม่ไหวแน่
หากเธอรู้ว่าตำรวจสิบกว่าคนนี้ ตอนนี้ถูกเย่เฉิงเฟิงขู่จนหวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เกรงว่าเธอคงไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรดี
“เธอเป็นใคร?”
เฉียวเจิ้นคุนสะดุ้งเฮือก แต่เมื่อเห็นการแต่งตัวของซ่งหย่าลี่ที่เหมือนแค่พนักงานธรรมดา ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนสำคัญอะไร จึงแค่นเสียงเย็นชาพูดว่า “อย่ามาหาว่าฉันใช้ความรุนแรงกับใคร ถึงจะซ้อมจริง เธอก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่ง ใครกล้าสั่งให้เตะประตูเข้ามา? หืม? ใครสั่ง?”
“ประธานซ่ง ช่วย...ช่วยด้วยครับ”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่เย่เฉิงเฟิงไปนอนอยู่ใต้โต๊ะสอบสวน
เขายื่นมือข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงราวกับเลือดตบเบา ๆ ที่โต๊ะสอบสวนสีขาวบริสุทธิ์ ดูไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน
สิ่งนี้ทำให้เฉียวเจิ้นคุนและพรรคพวกขนลุกอีกระลอก ทั้งสงสัยว่าเขาลงไปอยู่ใต้โต๊ะตั้งแต่เมื่อไร แต่พอเห็นคราบซอสมะเขือเทศที่ยังเหลืออยู่บนมือเย่เฉิงเฟิง ก็พอเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจกลัวกันเมื่อครู่ ล้วนเป็นฝีมือเย่เฉิงเฟิงทั้งสิ้น
“สารเลว! กล้าดียังไงถึงซ้อมคนจนดูไม่ได้แบบนี้!”
ซ่งหย่าลี่แค่มองแวบเดียว จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าสิ่งที่เปื้อนอยู่บนมือเย่เฉิงเฟิงนั้น จริง ๆ แล้วคือซอสมะเขือเทศสีแดง
ดังนั้นเธอจึงโกรธจัด รีบส่งสัญญาณให้คนขับรถไปพยุงเย่เฉิงเฟิงขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับเฉียวเจิ้นคุนว่า “แกนี่มันผู้กำกับที่เลวทรามสิ้นดี”
“ไหนพูดอีกทีสิ”
เฉียวเจิ้นคุนในตอนนั้น ยังไม่รู้ว่าสตรีธรรมดาคนนี้คือสะใภ้ตระกูลฟ่าน เขาจึงผลักซ่งหย่าลี่พลางพูดว่า “ยัยป้าปากจัดนี่ อวดดีเหลือเกินนะ เชื่อไหมว่าฉันจะจับเธอข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่!”
“เอาความกล้าไปเลยเต็มร้อย!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังกังวาน จากนั้นก็เห็นตำรวจสามนายในเครื่องแบบ วิ่งเข้ามาอย่างดุดันและว่องไว
ชายผู้เดินนำหน้า ยศบนบ่านั้นแทบจะทำให้คนตาบอดเพราะความเจิดจ้า
“อ...อธิบดีฟ่าน!”
เฉียวเจิ้นคุนถึงกับร้องเฮือกด้วยความตกใจ สมองชะงักไปชั่วขณะ
เขาก็แค่จับรปภ.เฝ้าประตูธรรมดามาคนเดียวเองไม่ใช่เหรอ? ไหงถึงได้ไปเกี่ยวข้องกับท่านอธิบดีกรมตำรวจเมืองฮู่ได้ล่ะ?
ถึงจะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับอีกฝ่ายแล้ว มันห่างชั้นกันคนละโลกเลย
“น้องฟ่าน ในที่สุดคุณก็มา”
ซ่งหย่าลี่พูดขึ้นในเวลานี้ว่า “เฉียวเจิ้นคุนคนนี้ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เพียงแต่ใช้อำนาจโดยมิชอบกับเพื่อนของฉันที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ยังด่าฉันว่าเป็นยัยป้าปากจัด แล้วคิดจะจับฉันด้วย”
“น...น้องฟ่าน?”
เฉียวเจิ้นคุนถึงกับผงะ ขาก็อ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่
ผู้หญิงธรรมดาคนนี้ เรียกฟ่านเทาท่านอธิบดีกรมตำรวจเมืองฮู่ว่า ‘น้องฟ่าน’ งั้นเหรอ? แบบนี้เธอก็ต้องเป็น...ลูกสะใภ้ตระกูลฟ่านท่านประธานซ่งหย่าลี่? หรือก็คือ ‘ประธานซ่ง’ ที่เย่เฉิงเฟิงเรียกย่อ ๆ ไปก่อนหน้านี้นั่นเอง?
จนถึงตอนนี้ เฉียวเจิ้นคุนเพิ่งจะเข้าใจความจริง
แต่เห็นได้ชัดว่ามันสายไปเสียแล้ว
“น้องเย่ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฟ่านเทาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเฉียวเจิ้นคุนแม้แต่นิดเดียว เขารีบยื่นมือทั้งสองออกไปจับมือขวาของเย่เฉิงเฟิงที่เลอะซอสมะเขือเทศด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง "วันนี้ต้องขออภัยจริง ๆ ที่ทำให้ท่านตกใจ ไว้ฉันจัดการกับพวกสารเลวเสร็จ จะเลี้ยงโต๊ะใหญ่ที่ตึกจักรพรรดิ เพื่อขอโทษท่านอย่างเป็นทางการ"
“……”
คำพูดนี้ทำเอาเฉียวเจิ้นคุนและพวกตำรวจสถานีซื่อหลี่ถึงกับตาพร่าไปเลย
แม้แต่เจ้าหน้าที่กรมตำรวจสองคนที่ตามฟ่านเทามาด้วยก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
ฟ่านเทาเป็นใครกัน? แล้วดูจากการแต่งตัวของเย่เฉิงเฟิง ก็แค่รปภ.เฝ้าประตูธรรมดาคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ?
แต่เย่เฉิงเฟิงกลับทำให้ฟ่านเทาจับมือเขาทั้งสองข้างทั้ง ๆ ที่เลอะเทอะ และยังเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ ถึงขั้นจะไปเลี้ยงโต๊ะขอโทษที่ตึกจักรพรรดิภัตตาคารอันดับหนึ่งของเมืองฮู่!
นี่...นี่มันเกินจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว!