บทที่ 27 ให้มันได้เห็นเลือดสักหน่อย!
การกระทำและคำพูดของเย่เฉิงเฟิง เกือบทำให้วังเสี่ยวฮั่นหลุดหัวเราะออกมา
สำหรับเฉียวเจิ้นคุนแล้ว เธอไม่ชอบหน้าเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ก่อนเมื่อไรที่กลุ่มบริษัทหลินซื่อมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ เฉียวเจิ้นคุนก็ต้องพาคนมากันเป็นขบวน เพื่อมาหาผลประโยชน์ ซึ่งเธอในฐานะผู้ที่ต้องคอยต้อนรับก็รู้สึกเอือมระอาเต็มที
แต่วันนี้ พอเธอเห็นเย่เฉิงเฟิงปฏิบัติกับเฉียวเจิ้นคุนแบบนั้น ก็รู้สึกสะใจสุด ๆ
แต่เฉียวเจิ้นคุนเอง รวมถึงตำรวจที่ล้อมรอบ สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีเลย
ไอ้รปภ.เฝ้าประตูต๊อกต๋อยนี่ กร่างเกินไปหรือเปล่า?
ดันไม่เห็นหัวเฉียวเจิ้นคุนเลยเนี่ยนะ!
แล้วตอนนี้ เก้าอี้พลาสติกตัวเดียวถูกโยนทิ้งไป ส่วนเย่เฉิงเฟิงก็นอนเอนสบายอยู่บนเก้าอี้โยก แบบนี้เฉียวเจิ้นคุนจะทำยังไงต่อ?
หรือว่าจะให้ผู้กำกับอย่างเฉียวเจิ้นคุนต้องยืนถามคำถามเย่เฉิงเฟิงจริง ๆ น่ะหรือ?
อย่าว่าแต่เป็นแค่การสอบสวนทั่วไปเลย ต่อให้เป็นการสอบสวนจริง ๆ เฉียวเจิ้นคุนก็เสียหน้าเกินกว่าจะยอมรับได้
“แก...แก...ตอนนี้ฉันสงสัยอย่างหนักเลยว่าแกเป็นฆาตกรที่ฆ่าชายในชุดจงซานนั่น”
ด้วยความโกรธจัด เฉียวเจิ้นคุนไม่ทันได้คิดอะไรก็สั่งการเดี๋ยวนั้น “จับมันใส่กุญแจมือ พากลับสถานีไปสอบสวนให้ดี อาจจะเป็นพวกอาชญากรมืออาชีพก็ได้!”
“ผู้กำกับเฉียว นี่คุณหมายความว่าไง?”
คราวนี้วังเสี่ยวฮั่นไม่เกรงใจอีกต่อไป “ชายชุดจงซานเมื่อวานน่ะ ตั้งใจจะลอบทำร้ายประธานหลินของพวกเรา แล้วตอนนี้กลับกลายเป็นเหยื่องั้นเหรอ? ถ้าพูดแบบนี้ ประธานหลินของเราก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่ช่วยปกป้องคนร้ายไปด้วยสิ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น!”
ถึงแม้เฉียวเจิ้นคุนจะหงุดหงิด มองใครก็ไม่สบอารมณ์
แต่เขาก็รู้ดีว่าหลินจื่อเวยกับตงฟางเสวี่ยเป็นเพื่อนสนิทกัน และตงฟางเสวี่ยก็เป็นคนของตระกูลตงฟาง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองฮู่ ฐานะไม่ธรรมดา จะไปล่วงเกินหลินจื่อเวยไม่ได้เด็ดขาด
แต่ไอ้รปภ.เฝ้าประตูตรงหน้าเนี่ย เขาจะทำอะไรกับมันก็ได้นี่นา?
ดังนั้น เฉียวเจิ้นคุนจึงงัดอำนาจในหน้าที่ของเขาออกมาเต็มที่ พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “ฉันสงสัยว่าเขาสังหารพวกเดียวกันเอง เพื่อให้ประธานหลินของพวกคุณไว้วางใจ แล้วค่อยดำเนินแผนการบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยได้”
พอเฉียวเจิ้นคุนพูดแบบนี้ วังเสี่ยวฮั่นก็ไม่มีเหตุผลให้ซักถามแล้ว
ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ยืนมองเย่เฉิงเฟิงถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งพาตัวไปต่อหน้าต่อตา
“ฝากคุณเรียกเพื่อนรปภ.มาเฝ้าประตูแทนด้วยนะ เดี๋ยวผมกลับมา”
เย่เฉิงเฟิงยิ้มให้วังเสี่ยวฮั่นก่อนขึ้นรถ จนวังเสี่ยวฮั่นไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี
กลับกลายเป็นเฉียวเจิ้นคุนกับตำรวจเหล่านั้น ที่ยิ้มแย้มกันจนหน้าบาน
เดินเข้าไปในสถานีตำรวจของพวกเขา ยังคิดจะออกมาอีกเหรอ?
ทุกคนต้องจ่ายสินบนเป็นพันเป็นหมื่น ไม่งั้นก็อย่าหวังเลย
เย่เฉิงเฟิงเพิ่งถูกพาตัวไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที รถเบนท์ลีย์ มอเตอร์สสีเงินขาวก็แล่นมาจอดหน้าประตู
วังเสี่ยวฮั่นยังเดินไปไม่ไกล พอเห็นว่ารถคันที่มาใหม่ราคาไม่ธรรมดา ก็นึกได้ว่าอาจจะเป็นแขกคนสำคัญของบริษัท อีกทั้งเย่เฉิงเฟิงเพิ่งถูกพาตัวไป เธอก็ยังไม่ได้จัดคนมาเฝ้าประตูแทน
วังเสี่ยวฮั่นจึงรีบเดินเข้าไปถามว่า “ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ?”
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าหมอเย่ไปไหนแล้ว?”
ซ่งหย่าลี่ชะโงกศีรษะมองห้องรักษาความปลอดภัย แต่ไม่เห็นเย่เฉิงเฟิง
วันนี้เธอมาหาเย่เฉิงเฟิงเพื่อบอกว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำงานในฐานะพนักงานธรรมดา เพื่อหาเงินหนึ่งพันห้าร้อยหยวน
ดังนั้นเธอจึงแต่งตัวธรรมดามาก และแต่งหน้าอย่างแนบเนียน ดูยังไงก็ดูไม่ออกว่าเป็นคนที่นั่งเบนท์ลีย์ มอเตอร์สมา
ด้วยเหตุนี้ วังเสี่ยวฮั่นจึงอึ้งอย่างช่วยไม่ได้
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าหมอเย่ เย่เฉิงเฟิงอยู่ไหมคะ?”
ซ่งหย่าลี่เห็นวังเสี่ยวฮั่นเหม่อลอย จึงถามอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“อ้อ เย่เฉิงเฟิงเขา...เพิ่งถูกเฉียวเจิ้นคุนจากสถานีตำรวจซื่อหลี่เอาตัวไปค่ะ”
วังเสี่ยวฮั่นเพิ่งได้สติกลับมา จึงรีบพูดขึ้น “ถ้าคุณเป็นเพื่อนของเขา แนะนำให้รีบตามไปเลยนะคะ พวกเฉียวเจิ้นคุนไม่เป็นมิตรกับเขาเอาซะเลย”
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ซ่งหย่าลี่ได้ยินแล้วขมวดคิ้ว
“เขา...เขาไปล่วงเกินเฉียวเจิ้นคุนค่ะ”
วังเสี่ยวฮั่นถอนหายใจอย่างกลั้นไม่อยู่ “เมื่อวานที่บริษัทของเรา มีคนพยายามลอบสังหารประธานหลิน เย่เฉิงเฟิงเป็นคนช่วยไว้ได้ แต่คนร้ายดันพลัดตกตึกตาย วันนี้เฉียวเจิ้นคุนมาสอบสวน แล้วเย่เฉิงเฟิงก็ดันไปพูดไม่เข้าหู เขาเลยอ้างว่าเย่เฉิงเฟิงเป็นพวกเดียวกับคนร้าย เลยพาตัวกลับไปสอบสวนที่สถานี”
“เหลวไหลสิ้นดี!”
ซ่งหย่าลี่เอ่ยตำหนิทันควัน แล้วรีบหันตัวกลับไปที่รถ ให้คนขับบึ่งไปที่สถานีตำรวจซื่อหลี่
ขณะที่ยังอยู่บนรถ ซ่งหย่าลี่ก็โทรศัพท์ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “ฮัลโหล น้องฟ่าน ที่กรมตำรวจยุ่งไหม? รีบมาที่สถานีตำรวจซื่อหลี่ที เกิดเรื่องนิดหน่อย เดี๋ยวฉันไปก่อน ได้ค่ะ วางนะคะ”
“ประธานหลิน เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
วังเสี่ยวฮั่นจัดการหาคนมาแทนเย่เฉิงเฟิงแล้ว ก็รีบโทรหาหลินจื่อเวยทันที “เมื่อกี้เย่เฉิงเฟิงล่วงเกินเฉียวเจิ้นคุน ถูกเอาตัวไปแล้วค่ะ”
“ได้ยังไง? เฉียวเจิ้นคุนจับตัวคนอื่นไปตามใจชอบได้ยังไง?”
หลินจื่อเวยได้ยินแล้วรู้สึกเหลือเชื่อ
ก่อนออกไปทำงาน เธอเป็นห่วงว่าเย่เฉิงเฟิงจะอาศัยที่ตัวเองเก่งกาจ แล้วดูแคลนเจ้าหน้าที่รัฐ
ดังนั้นเธอจึงเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าคนคนนั้นคือผู้กำกับสถานีตำรวจ ซึ่งไม่ว่าจะยังไงก็มีอำนาจทางการอยู่บ้าง
แต่ไม่คิดเลยว่าเย่เฉิงเฟิงก็ยังไปล่วงเกินเขาจนได้
“เฉียวเจิ้นคุนเป็นคนยังไง คุณก็น่าจะรู้นี่คะ”
วังเสี่ยวฮั่นถอนหายใจ “เขาอยากจับใครไปก็ทำได้ในเวลาสั้น ๆ ขอแค่มีข้ออ้างที่ฟังขึ้น”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
หลินจื่อเวยพูดจบก็วางสายทันที แล้วรีบโทรหาตงฟางเสวี่ย ก่อนจะเล่าเรื่องที่เย่เฉิงเฟิงถูกพาตัวไปแบบย่อ ๆ
หลังจากนั้น หลินจื่อเวยก็เสริมว่า “เย่เฉิงเฟิงเคยช่วยฉันไว้สองครั้ง นับว่าเป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะมีอคติกับเขาไหม ฉันก็หวังว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะช่วยเขาสักครั้ง”
“……”
ไม่นานนัก เย่เฉิงเฟิงก็ถูกพามาที่สถานีตำรวจซื่อหลี่
“ลงรถ”
ตำรวจนายหนึ่งผลักเย่เฉิงเฟิงอย่างหยาบคาย
“ปกติพวกแกใช้หน้าที่ตำรวจทำเรื่องชั่วแบบนี้กันอยู่แล้วสินะ?”
เย่เฉิงเฟิงมองสำรวจสภาพแวดล้อมสถานีตำรวจซื่อหลี่ พร้อมเอ่ยถามไปด้วย
“เลิกพูดมาก เข้าไปซะ”
“ก็ดี ขอฉันดูหน่อยว่าพวกแกมีแผนการอะไร”
“เดี๋ยวแกก็รู้แล้ว”
เฉียวเจิ้นคุนแค่นหัวเราะ แล้วโบกมือสั่งลูกน้องให้พาเย่เฉิงเฟิงเข้าไปในห้องสอบสวน
ทันทีที่กล้องวงจรถูกปิด ประตูหน้าต่างถูกล็อก เฉียวเจิ้นคุนและพรรคพวกก็ล้อมเย่เฉิงเฟิงอีกครั้ง
แต่คราวนี้ พวกเขามีกระบองไฟฟ้าคนละอัน พร้อมยกยิ้มแบบมีเจตนาร้าย
“นี่จะรุมตีฉันเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงแกล้งทำเป็นถอยหลังอย่างหวาดกลัว
“แกนี่มันโคตรกร่าง”
เฉียวเจิ้นคุนถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรง พลางพับแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันทำงานในสถานีตำรวจมาหลายปี เจอพวกกร่างมามาก แต่ยังไม่เคยเจอใครกร่างเท่าแกเลย”
“วันนี้ถือว่าได้เจอแล้วไง แกไม่รู้สึกซาบซึ้งน้ำตาไหลหน่อยเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะฮ่า ๆ ส่งกระแสจิตตรวจสอบเล็กน้อย ก็พบว่ากล้องวงจรปิดในห้องสอบสวนถูกปิดแล้ว จึงเข้าใจสถานการณ์ทันที
“ได้ ฉันจะซาบซึ้งแกเดี๋ยวนี้แหละ”
เฉียวเจิ้นคุนแสยะยิ้มอย่างได้ใจ จากนั้นตะโกนออกคำสั่งว่า “จัดการมัน! ให้มันได้เห็นเลือดสักหน่อย!”