บทที่ 26 ล้างสักหน่อยก็ยังนั่งได้อยู่
ต่อหน้าคำพูดที่ดูรุกรานแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ หลินจื่อเวยคงจะทั้งด่าทั้งตบปฏิเสธไปแล้ว
แต่คนตรงหน้าเธอคือ เย่เฉิงเฟิงที่เคยช่วยเธอถึงสองครั้งโดยไม่หวังผลตอบแทน และหลินจื่อเฉียงน้องสาวของเธอยังชื่นชมทักษะการขับรถของเขามากอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ หลินจื่อเวยจึงไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธ กลับกลายเป็นเหมือนถูกอะไรดลใจให้พยักหน้า “ตราบใดที่นายไม่ทำอะไรเกินเลย ก็ยินดีต้อนรับเสมอ”
ท้ายที่สุด เธอมองเย่เฉิงเฟิงอย่างลึกซึ้ง แล้วก็พูดออกมาอีกครั้งว่า “ถ้าเป็นไปได้ ฉันหวังว่านายกับตงฟางเสวี่ยจะลืมเรื่องราวในอดีตเมื่อสิบปีก่อน แม้ว่าตอนนี้นายจะอยากตามจีบเธอ ฉันก็สนับสนุน แต่ห้ามทำร้ายเธอเด็ดขาด!”
“แต่คนที่ผมอยากจีบคือประธานหลินนะ”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะเจ้าเล่ห์
“ฉันเคยบอกไปแล้วว่าฉันโฟกัสแต่งาน ไม่คิดเรื่องอื่น พวกเราจะเป็นได้มากสุดก็แค่เพื่อนธรรมดา”
“ไม่เป็นไร ความชอบที่ผมมีต่อคุณน่ะมั่นคงยาวนาน วันไหนที่คุณเริ่มอยากมีความรัก อย่าลืมมาหาผมเป็นคนแรกล่ะ บางทีพอเราได้อยู่ด้วยกัน คุณอาจจะรู้สึกว่าที่แท้แล้วผมนี่แหละคือผู้ชายในฝันของคุณ”
“เลิกหลงตัวเองได้แล้ว ตั้งใจทำงานเถอะ”
หลินจื่อเวยมองค้อนใส่เขา แต่ริมฝีปากเย้ายวนกลับยกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เธอหยุดไปเล็กน้อย แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวเตือนว่า “อีกสักพัก เฉียวเจิ้นคุนผู้กำกับสถานีตำรวจซื่อหลี่จะพาคนมาตรวจสอบข้อมูลประวัติพนักงานบริษัทเราว่าเป็นของจริงหรือไม่ เพื่อดูว่ามีใครแฝงตัวเป็นอาชญากรหรือเปล่า ก็ถือว่าเป็นการช่วยบริษัทเรากำจัดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อย่าลืมให้เขาเข้ามาด้วยล่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
เย่เฉิงเฟิงพยักหน้า แอบประหลาดใจนิดหน่อย
เรื่องของชายชุดจงซานเมื่อวาน ไม่ใช่ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ? ทำไมตำรวจยังต้องมาตรวจสอบข้อมูลพนักงานอีก?
หรือว่าในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพหลินซื่อแห่งนี้ มีผู้ต้องสงสัยแอบแฝงอยู่จริง ๆ?
หรือตำรวจพวกนั้นแค่ไม่มีอะไรทำเฉย ๆ แค่ฉวยโอกาสมาหาผลประโยชน์?
หลังจากส่ายศีรษะครู่หนึ่ง เย่เฉิงเฟิงก็ขี้เกียจจะใส่ใจแล้ว
ขอแค่ไม่มีใครคิดร้ายกับหลินจื่อเวย ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องไปกังวล
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา รถโตโยต้าแลนด์ครุยเซอร์คันหนึ่งกับรถตู้มิตซูบิชิที่ดัดแปลงเป็นรถสายตรวจก็แล่นมาพร้อมกับเสียงไซเรน
เห็นดังนั้น เย่เฉิงเฟิงก็เปิดประตูเลื่อนอัตโนมัติปล่อยเข้ามา
จากนั้นเขาก็เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจธรรมดา 12 นายในเครื่องแบบลงมาจากรถตำรวจสองคันนั้น และชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยคนหนึ่ง ซึ่งวังเสี่ยวฮั่นเลขาของหลินจื่อเวยออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
เดิมทีนึกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเย่เฉิงเฟิงเลย
แต่สิ่งที่เย่เฉิงเฟิงไม่คาดคิดคือ ชายพุงพลุ้ยคนนั้นพูดกับวังเสี่ยวฮั่นไม่กี่คำ ก็พาตำรวจกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามายังห้องรักษาความปลอดภัยทันที
ขณะเดียวกัน ยังมีการโต้เถียงกันเล็กน้อยระหว่างวังเสี่ยวฮั่นกับชายวัยกลางคนผู้นั้นว่า “ผู้กำกับเฉียว รปภ.เพิ่งเข้ามาใหม่ แถมยังเป็นเพื่อนกับประธานหลินของเราอีกด้วย ไม่ต้องสอบสวนอะไรเยอะหรอก ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นการกำจัดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย แน่นอนว่าต้องเริ่มจากรปภ.ก่อน”
ชายพุงพลุ้ยคนนั้นไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง เขาพูดขึ้นว่า “ประธานหลินของพวกคุณเป็นถึงสาวงามคนดังแห่งเมืองฮู่ แถมยังเป็นนักธุรกิจอัจฉริยะ เพื่อนของเธอจะเป็นแค่รปภ.ได้ยังไง? ไม่แน่นะ อาจจะใช้ความใจดีของผู้หญิงเป็นช่องทางเข้ามาตีสนิท แล้วหาจังหวะลงมือก่อเหตุตอนเผลอ”
ในขณะที่เย่เฉิงเฟิงตะลึงจนพูดไม่ออก คนกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัย ล้อมเย่เฉิงเฟิงไว้ตรงกลางเหมือนจะจับผู้ต้องสงสัยอย่างไรอย่างนั้น
แค่ยังไม่ควักกุญแจมือกับปืนออกมาก็เท่านั้น
ถ้าเป็นประชาชนธรรมดา คงตกใจกับสถานการณ์ใหญ่โตจนขวัญเสียไปแล้ว
แต่เย่เฉิงเฟิงไม่อยากแสดงบัตรประจำตัวเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
จุดประสงค์ของเขาในครั้งนี้คือการปกป้องหลินจื่อเวยอย่างลับ ๆ ไม่ใช่เปิดเผยให้ทุกคนรู้ว่าเขาคือหัวหน้าครูฝึกมังกรแฝงหงส์เร้นแห่งหัวเซี่ย รวมถึงมียศพลเอกในมังกรแฝง
ดังนั้นเย่เฉิงเฟิงจึงตั้งใจให้ความร่วมมือกับการสอบสวน คิดว่าอย่างมากก็แค่ไม่กี่นาที พอเรื่องจบ ตำรวจก็จะกลับไปเอง
แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยที่เป็นหัวหน้า พอนั่งลงก็หยิบบุหรี่ยี่ห้อหร่วนจงหัวที่เขาเพิ่งวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาจุดสูบอย่างหน้าด้านทันที
จากนั้นก็ทุบโต๊ะดังปัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “บอกความจริงมาให้หมด แกเคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรมาก่อนบ้าง? อย่าคิดจะเล่นตุกติกนะ! ฉันไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่าย ๆ นะ!”
ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อย น้ำเสียงแบบนั้นเรียกว่าข่มขวัญล่อให้หลุดปากพูด ถ้าเจอพวกขี้ขลาดที่ทำผิดจริงก็อาจจะหลุดปากสารภาพทันที
แต่เย่เฉิงเฟิงไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ดังนั้นสำหรับเขา น้ำเสียงแบบนั้นคือการสอบสวนผู้ต้องหา ไม่เกี่ยวอะไรกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงเลยแม้แต่นิด
พูดให้ชัดก็คือ พวกนี้ก็แค่แสดงอำนาจข่มคน และหวังจะฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ไปด้วย
ดังนั้นเย่เฉิงเฟิงจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป กระดิกนิ้วใส่เฉียวเจิ้นคุนแล้วพูดว่า “แก ลุกขึ้น! นี่ไม่ใช่ที่ที่แกจะนั่งได้!”
“พูดแบบนี้ได้ยังไง? ฉันเป็นถึงผู้กำกับใหญ่โต ไม่มีสิทธิ์นั่งต่อหน้าแกงั้นเหรอ?”
เฉียวเจิ้นคุนถลึงตาใส่ ในใจเริ่มเดือดดาลขึ้นมาแล้ว
ถึงแม้มันจะเป็นแค่เก้าอี้พลาสติกแข็ง ๆ ที่ไม่มีพนักพิง แต่มันคือที่นั่งเดียวในห้องรักษาความปลอดภัย ถ้าไม่ได้นั่ง จะอวดเบ่งสถานะผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่คนพวกนี้ได้ยังไง?
ส่วนเก้าอี้โยกน่ะ เขาอยากนั่งก็จริงแต่ไม่กล้า ถ้าคนอื่นรู้ว่าเขานอนเวลาทำงาน จะส่งผลไม่ดีต่อภาพลักษณ์
แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือ ถ้าเย่เฉิงเฟิงแสดงบัตรประจำตัวขึ้นมาจริง ๆ อย่าว่าแต่นั่งเลย แม้แต่ยืนถือรองเท้าให้ ยังไม่มีสิทธิ์เลยด้วยซ้ำ
“ผู้กำกับเฉียวใช่ไหม?”
เย่เฉิงเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าเหยียดหยาม “ตำรวจอย่างพวกแกมีประโยคประจำตัวว่าไงนะ? คุ้มครองความปลอดภัยและทรัพย์สินประชาชน!”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“ดี เก้าอี้ที่แกนั่งอยู่ ฉันซื้อมาเอง ก็ถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวฉันไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้แกทำอะไรอยู่? ยึดครองทรัพย์สินส่วนตัวของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“แก...”
เฉียวเจิ้นคุนถึงกับหน้าถอดสีทันทีเมื่อได้ยิน แบบนี้มันใส่ร้ายกันชัด ๆ เขาจึงดีดตัวลุกจากเก้าอี้พลาสติกโดยไม่รู้ตัว ราวกับถูกไฟดูด
แต่ไม่นานเฉียวเจิ้นคุนก็ตระหนักได้ทันทีว่าเย่เฉิงเฟิงตั้งใจทำให้เขาเสียหน้า!
ถึงเขาจะเป็นแค่ผู้กำกับสถานีตำรวจเล็ก ๆ ในย่านซื่อหลี่ แต่ยังไงก็เป็นผู้กำกับนะ
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หลินจื่อเวย งานสอบสวนเล็ก ๆ ประเภทนี้เขาจะยอมออกหน้าเหรอ?
ด้วยเหตุนี้ คำพูดของเย่เฉิงเฟิงจึงทำให้เฉียวเจิ้นคุนอยากจะเหยียบเย่เฉิงเฟิงให้จมดินอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เฉียวเจิ้นคุนหน้าเสียกว่าเดิม ยังมีหลังจากนี้อีก
เห็นเพียงเย่เฉิงเฟิงคว้าเก้าอี้พลาสติกแข็งที่เขานั่งเมื่อครู่ แล้วขว้างออกไปนอกประตู กลิ้งไปหลายตลบก่อนจะร่วงลงไปในคูน้ำสกปรก
จากนั้นก็แย่งบุหรี่หร่วนจงหัวในมือเขามาแล้วเหยียบแบนแต๊ดแต๋
“ขออภัยจริง ๆ ฉันค่อนข้างรักความสะอาดน่ะ”
เย่เฉิงเฟิงพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “เก้าอี้ที่คนอื่นเคยนั่ง บุหรี่ที่คนอื่นเคยสูบ ฉันไม่สนหรอก ตอนนี้ฉันทิ้งไปหมดแล้ว ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของฉันอีก ถ้าผู้กำกับเฉียวยืนสอบสวนจนเมื่อย จะไปเก็บมาล้างสักหน่อยก็ยังนั่งได้อยู่ ส่วนบุหรี่นั่น ก็แค่ปัดฝุ่นสักหน่อยก็ยังสูบได้อยู่ อย่างน้อยมันก็ตั้งหลายหยวนนะ”
พูดจบเขาก็ยืดตัวบิดขี้เกียจ โดยไม่สนใจสายตาตำรวจรอบตัวที่ทำท่าเหมือนจะกินคน ก่อนจะเอนตัวลงนอนบนเก้าอี้โยก แล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างสบายใจ