บทที่ 25 เทพธิดาผู้เย็นชาก็หวั่นไหวเป็น
“จริง ๆ ตอนนี้ฉันก็สับสนมาก”
หลินจื่อเวยยิ้มเจื่อน “เดิมทีเขาเป็นคนน่าสงสารที่ถูกเธอถอนหมั้น ถูกตระกูลเย่ขับไล่ ไม่แปลกใจอะไรที่เขามาหางานธรรมดาทำ”
พูดถึงตรงนี้ หลินจื่อเวยก็หยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันกลับพบว่าหมอนั่นไม่ใช่คนธรรมดาเลย วันนี้จอมยุทธโบราณจากสำนักเสวียนหู่ที่พยายามจะจับตัวฉันไปน่ะ ยังถูกเย่เฉิงเฟิงฟาดทีเดียวกระเด็นไปเลย!”
“โต๊ะน้ำชาที่ห้องทำงานฉันน่ะ เธอน่าจะรู้ใช่ไหม? แผ่นหินบนโต๊ะนั่นหนาตั้งหลายเซนติเมตร จอมยุทธโบราณจากสำนักเสวียนหู่นั่นต่อยทีเดียวแตก แต่คนที่แกร่งระดับนั้น กลับยังถูกเย่เฉิงเฟิงฟาดกระเด็นไปได้ ฉันถึงกับสงสัยว่าเขาใช่คนหรือเปล่า”
“สุดยอดขนาดนั้นเชียว?”
หลินจื่อเฉียงถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แล้วหันไปมองห้องวีไอพีระดับพรีเมียมโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเย่เฉิงเฟิงเกือบคิดไปว่ายัยนี่มองเห็นเขาเข้าแล้ว
แต่พอคิดว่าห้องวีไอพีระดับพรีเมียมของบาร์จักรพรรดิ สามารถมองจากด้านในออกไปได้อย่างเดียว แต่ด้านนอกกลับมองไม่เห็นด้านใน เย่เฉิงเฟิงจึงค่อยโล่งใจ
“ที่เวยเวยพูดมานี่ มันเกี่ยวอะไรกับฉันเหรอ?”
ตงฟางเสวี่ยพูดด้วยท่าทีเฉยเมย ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร หรือว่าเธอไม่รู้สึกอะไรจริง ๆ
“ฉันแค่...ฉันแค่กลัวว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นเธอน่ะสิ!”
หลินจื่อเวยพูดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “ถึงฉันจะรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลว แต่เขาก็คงดีกับคนที่ไม่เคยทำร้ายเขาเท่านั้นแหละ! เธอเคยทำกับเขาขนาดนั้น ผู้ชายที่มีศักดิ์ศรีคงรับไม่ได้หรอก…”
“ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าเขาจะยังใช้ชื่อเดิม แต่ข้อมูลประจำตัวเขาเปลี่ยนแปลงแล้ว ตอนนี้กลับมาเมืองฮู่อีกครั้ง ฉันกลัวว่าเขาจะทำร้ายเธอ”
พูดจบ หลินจื่อเวยก็หยิบแฟ้มประวัติรับเข้าทำงานของเย่เฉิงเฟิงออกมา นิ้วเรียวสวยชี้ไปที่รูปถ่ายของเขา รวมถึงข้อมูลภูมิลำเนาและอื่น ๆ
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว”
ตงฟางเสวี่ยกวาดสายตามองรูปถ่าย พลันว้าวุ่นใจขึ้นมา
เธอจึงอ้างว่าดึกแล้ว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากบาร์ทันที
แต่ในขณะที่เธอขับรถมาเซราติแล่นบนถนน สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวกลับเป็นใบหน้าของสุภาพบุรุษที่ช่วยเธอบนเครื่องบิน และภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในแฟ้มประวัตินั้น
แต่ไม่นานนัก ใบหน้าของทั้งสองก็ซ้อนทับกันขึ้นมา
ซึ่งทำให้ตงฟางเสวี่ยรู้สึกซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
เธอไม่เข้าใจเลย คนคนเดียวกันแท้ ๆ แต่ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้
คนหนึ่งเป็นสุภาพบุรุษ อีกคนกลับลามกเกินขอบเขต
แต่เมื่อนึกถึงประโยคแสนเย็นชาที่ว่า ‘คงไม่ได้เจอกันอีก’ ริมฝีปากแดงเย้ายวนของตงฟางเสวี่ยก็เผลอยิ้มเจื่อนออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ที่แท้ตอนนั้นเขาก็รู้แล้วว่าฉันเป็นใคร! เขาเกลียดฉันมากเลยสินะ?”
แต่ก้นบึ้งหัวใจตงฟางเสวี่ย กลับรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเย่เฉิงเฟิงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ถึงขั้นรู้สึกดีอย่างอธิบายได้ยาก
เธอยังจำได้ว่าตอนอยู่บนเครื่องบิน เธอเกือบถูกไอ้ชายอ้วนเตี้ยลามกจากลัทธิสัจธรรมจับตัวไปขืนใจ
ตอนนั้นเธอรู้สึกสิ้นหวังสุดขีด
เป็นเย่เฉิงเฟิงที่ปรากฏตัวลงมาดั่งเทพเจ้า เหมือนเทพนักรบที่เข้ามากวาดล้างคนชั่ว ทำให้หัวใจเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย
……
หลังจากตงฟางเสวี่ยออกไปจากบาร์ หลินจื่อเวยกับหลินจื่อเฉียงสองพี่น้องก็จ่ายเงินและออกจากร้านตามไป
จากนั้น เย่เฉิงเฟิงก็เรียกเฉินเฟิงมา กำชับอะไรบางอย่างเล็กน้อย แล้วก็ออกไปเช่นกัน
สำหรับเรื่องที่หลินจื่อเวยรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เย่เฉิงเฟิงกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก
แม้ท่านอวิ๋นจะจัดเตรียมตัวตนใหม่ให้เขาแล้ว แต่ในเมืองฮู่นี้ ตัวตนใหม่นั้นหลอกได้แค่คนธรรมดาทั่วไป ถ้าใช้กับพวกหลินจื่อเวย ตงฟางเสวี่ย หรือซ่งหย่าลี่ มันก็แทบไม่มีความหมายอะไรเลย
เพราะงั้นเย่เฉิงเฟิงที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ใส่ใจเลย อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรนาน การแอบซ่อนตัวทำตัวขี้ขลาดไม่ใช่นิสัยของเขาเลย
ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญเซียน เย่เฉิงเฟิงก็ไม่เคยกลัวใคร!
ไม่นานนัก เฟอร์รารี่ 458 ก็เลี้ยวเข้าเจียงปินการ์เดน เย่เฉิงเฟิงจึงรู้ว่าสองพี่น้องคู่นี้กำลังกลับบ้านไปพักผ่อน เขาจึงค่อยเบาใจลง
แต่สิ่งที่เย่เฉิงเฟิงไม่คาดคิดเลยก็คือ หลินจื่อเฉียงกลับตาไวเห็นรถเลกซัส แอลเอ็กซ์คันที่เคยแพ้ให้เขาซะงั้น!
ตอนขับรถผ่านวิลล่าหมายเลข 9 หลินจื่อเฉียงก็สั่งให้หยุดรถทันที แล้วลงจากรถเดินไปยังรถเลกซัส แอลเอ็กซ์ที่เย่เฉิงเฟิงจอดไว้ หลังจากยืนยันแน่ชัดแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นมองชั้นสองของวิลล่าหมายเลข 9 ที่เปิดไฟสว่างไสว ริมฝีปากอมชมพูเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่ พี่เทพรถซิ่งอยู่วิลล่าหมายเลข 9 จริงด้วย”
หลินจื่อเฉียงกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างมั่นใจมาก
ได้ยินเช่นนั้น หลินจื่อเวยก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ “เขา... คิดจะทำอะไรกันแน่?”
เมื่อสิบปีก่อน คนที่ถอนหมั้นเย่เฉิงเฟิงคือตงฟางเสวี่ยไม่ใช่เหรอ แล้วเย่เฉิงเฟิงจะมาอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ทำไมกัน?
หรือว่า...เขาจะชอบเธอจริง ๆ อย่างที่เคยพูดเอาไว้?
พอนึกถึงตอนกลางวันที่เย่เฉิงเฟิงกอดเธอแน่นในห้องทำงานเพื่อปลอบใจ ใบหน้าสวยของหลินจื่อเวยก็แดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เพราะความมืดยามราตรีบดบังเอาไว้จึงไม่ถูกหลินจื่อเฉียงเห็นเข้า
วันถัดมาตอนไปทำงาน เย่เฉิงเฟิงก็ถูกหลินจื่อเวยซักไซ้อย่างไม่ต้องสงสัย “เย่เฉิงเฟิง นายปิดบังฉันกี่เรื่องกันแน่?”
“อะไรเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงย่อมรู้เรื่องที่เมื่อคืนหลินจื่อเฉียงเห็นเลกซัส แอลเอ็กซ์จอดหน้าประตูวิลล่าหมายเลข 9
“ทำไมนายมาอยู่ใกล้ฉันขนาดนั้น?”
หลินจื่อเวยพูดด้วยความไม่พอใจ "วันนั้นฉันกับน้องสาวว่ายน้ำอยู่ในสระที่บ้าน น้องฉันบอกว่าเหมือนเห็นนายอยู่ที่ชั้นสองของวิลล่าหมายเลข 9 ตอนนั้นฉันยังบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ไหนได้มันเป็นเรื่องจริง!"
“ประธานหลินคิดว่าผมมีเจตนาไม่ดีกับคุณเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงพูดทั้งที่เหงื่อแตก "วิลล่าหมายเลข 9 ไม่ใช่ของผมหรอก แค่ไปอาศัยอยู่กับน้องสาวที่บ้านของลุงเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อจะตรวจสอบก็ได้นะ"
"งั้นทำไมนายไม่บอกฉันล่ะ? เมื่อวานตอนนายไปส่งฉัน ฉันยังถามอยู่เลยว่านายรู้เส้นทางไปเจียงปินการ์เดนได้ยังไง แต่นายกลับโกหก!"
“เอ่อ ผมกลัวว่าคุณจะคิดมาก เข้าใจผมผิดไง”
เย่เฉิงเฟิงยักไหล่ ดูหมดหนทางมาก
“ได้ จะเชื่อไปก่อนละกันว่าบังเอิญ”
หลินจื่อเวยพยักหน้า แต่ในดวงตาคู่งามกลับเปล่งความเย็นเยียบที่น่าเกรงขามออกมาโดยที่ไม่ได้โมโห เธอกล่าวขึ้นทันทีว่า "ตงฟางเสวี่ยเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ไม่ว่านายจะเคียดแค้นอะไรเธอ ฉันก็หวังให้นายแก้ปัญหาอย่างสันติ และห้ามทำร้ายเธอ ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่"
“อย่าพูดถึงเธอต่อหน้าผมได้ไหม?”
ดวงตาเย่เฉิงเฟิงเย็นชากว่าเดิม ทำให้หลินจื่อเวยผงะถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกหวาดกลัว
แต่แค่ถอยไปก้าวเดียวเท่านั้น
แต่เพื่อเพื่อนรัก หลินจื่อเวยก็ยังขบฟันแน่นฝืนทนต่อแรงกดดันของเย่เฉิงเฟิง และย้ำอีกครั้งว่า "ตงฟางเสวี่ยเป็นเพื่อนรักของฉัน ห้ามนายทำร้ายเธอเด็ดขาด!"
“ก็ได้ เห็นแก่ประธานหลิน ตราบใดที่เธอไม่แส่หาเรื่องผมละก็นะ”
เย่เฉิงเฟิงยักไหล่อีกครั้ง แต่มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "ไหน ๆ ประธานหลินก็รู้แล้วว่าเราพักบ้านติดกัน แบบนี้เราคงต้องไปมาหาสู่กันบ่อยหน่อยใช่ไหม? ถ้าผมแวะไปหาประธานหลินหลังเลิกงานวันนี้ คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?"