บทที่ 23 บาร์จักรพรรดิ
ทันทีที่เข้ามาในห้อง เย่เฉิงเฟิงก็ทำตามคำขอของท่านฟ่าน โดยให้ความสำคัญกับการรักษาเสี่ยวปู้เป็นอันดับแรก
เขาจับมือขวาของเสี่ยวปู้ แล้วส่งพลังวิญญาณบางเบาเข้าไปในร่างของเสี่ยวปู้ทันที มันเปลี่ยนเป็นใยแมงมุมจำนวนมากภายในร่างของเสี่ยวปู้ ดักจับพิษไฟจากเหล็กวิญญาณเพลิงทั้งหมด แล้วค่อย ๆ บีบให้พิษนั้นไหลไปยังนิ้วหัวแม่มือข้างขวาของเสี่ยวปู้
ผ่านไปห้านาทีเต็ม เย่เฉิงเฟิงดึงเข็มเงินออกมาเล่มหนึ่งและค่อย ๆ แทงลงไปที่ปลายนิ้วหัวแม่มือของเสี่ยวปู้
“ฉึก”
ในขณะที่เสี่ยวปู้ทนไม่ไหวร้องเจ็บออกมา ก็มีเลือดสีแดงเข้มผิดปกติพุ่งออกมาเหมือนลูกธนูใส่กระถางต้นกระบองเพชรบนระเบียง
ในพริบตานั้น ต้นกระบองเพชรแห้งเหี่ยวและเน่าเปื่อยทันที พร้อมส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง
“เรียบร้อยแล้ว แปะปลาสเตอร์ปิดแผลก็จะไม่เจ็บแล้ว เชื่อหมอ”
เย่เฉิงเฟิงลูบหัวเสี่ยวปู้เบา ๆ แล้วส่งสัญญาณให้ท่านฟ่าน “ท่านฟ่านเชิญนั่งครับ”
“เสร็จไวขนาดนี้เชียว?”
ท่านฟ่านอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ
“น้ำในบ่อมีพิษไฟพิเศษ แค่เค้นเลือดที่ติดพิษออกมาก็หายแล้ว”
เย่เฉิงเฟิงกล่าวอธิบายแบบผ่าน ๆ จากนั้นจับมือขวาของท่านฟ่านเหมือนเดิม ทำเหมือนกับที่ทำกับเสี่ยวปู้
แต่ว่าเนื่องจากท่านฟ่านแช่น้ำนั้นหลายครั้งเกินไป ทำให้ติดพิษเยอะมาก เย่เฉิงเฟิงจึงใช้เวลานานถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าจะบีบพิษไฟออกจากมือขวาของท่านฟ่านได้
ฉึก!
ฉึกฉึก!
เย่เฉิงเฟิงดึงเข็มเงินออกมา ทิ่มทั้งห้านิ้วที่มือขวาของท่านฟ่าน มีเลือดสีแดงเข้มและเหม็นคลุ้งห้าสายพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ใช้กะละมังสเตนเลสรับเลือดนานถึงสองนาที เย่เฉิงเฟิงเห็นว่าเลือดกลับมาเป็นปกติแล้ว จึงปิดแผลให้ท่านฟ่าน
ถึงแม้ว่าเสียเลือดมากไปหน่อย แต่ท่านฟ่านยังรู้สึกสดชื่น จิตใจแจ่มใส อาการอึดอัดร้อนรุ่มก่อนหน้านี้หายไปแทนที่ด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม
“ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าหมอเย่จะมีทักษะการแพทย์ชั้นสูงทั้งที่ยังหนุ่ม!”
ท่านฟ่านขยับกล้ามเนื้อและข้อต่อทันที แล้วเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เหมือนคนสุขภาพดีมีชีวิตชีวาเต็มที่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ เลย
“ท่านฟ่านอย่าตื่นเต้นเกินไป ช่วงนี้ยังต้องกินบำรุงเลือดเยอะ ๆ นะ”
เย่เฉิงเฟิงมองไปยังกะละมังสเตนเลสที่บรรจุเลือดที่ติดพิษอยู่ แล้วยื่นปากไปทางมัน “ส่วนเจ้านี่ แนะนำให้ราดน้ำมันเบนซินแล้วเผาทิ้งเลยจะดีที่สุด ถ้ากำจัดแบบลวก ๆ อาจส่งผลกระทบกับคนอื่นได้”
“ได้เลย! จะจัดการอย่างดี!”
ท่านฟ่านพยักหน้ารับหนักแน่น ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เสี่ยวปู้พ่นสายเลือดเป็นลูกศรจนทำให้กระบองเพชรทั้งกระถางเน่าตายทันทีนั้นยังติดตาเขาอยู่
จึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
“งั้นผมขอตัวก่อน”
เย่เฉิงเฟิงเช็ดมือ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หมอเย่ อย่าเพิ่งไป”
ท่านฟ่านรีบขวางไว้ แล้วหยิบบัตรสีทองอร่ามใบหนึ่งออกมาพูดว่า “หมอเย่อย่าเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่บัตรธนาคารอะไรหรอก เป็นแค่บัตรสมาชิกธรรมดาสำหรับใช้ตามสถานบริการ ขอแค่มีโลโก้เดียวกันกับบนบัตรก็สามารถใช้ได้ สะดวกและคุ้มค่ามาก ประหยัดเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
"หมอเย่เพิ่งมาอยู่แถวเจียงปินการ์เดน คงยังไม่ได้สมัครบัตรสมาชิกแบบเสียเงิน ฉันเกษียณแล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ในบัตรมีแต้มอยู่พอสมควร หมอเย่ใช้ไปก่อนก็แล้วกัน บางสถานที่ถ้าไม่มีบัตรใบนี้เขายังไม่ให้เข้าเลยด้วยซ้ำ"
“งั้นก็ขอบคุณครับ”
เย่เฉิงเฟิงเห็นว่าไม่ใช่ของมีค่าหรือสำคัญอะไรมาก ก็เลยยัดใส่กระเป๋าแล้วเดินจากไป
แต่ถ้าเขารู้ว่าบัตรที่ท่านฟ่านให้ไปนั้น ตระกูลฟ่านไม่เคยแจกเกินสามใบเลย เกรงว่าเขาคงไม่คิดแบบนั้นแน่นอน
ในโลกภายนอก มีคนตั้งชื่อให้บัตรประเภทนี้ว่า “บัตรภัตตาคารจักรพรรดิ” ซึ่งไม่สามารถประเมินค่าเป็นเงินได้เลย
กล่าวได้ว่า ถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้!
เพราะบัตรใบนี้ทำให้ผู้ถือบัตรสามารถใช้บริการระดับพรีเมียมฟรีตลอดชีพกับทุกสถานประกอบการในเครือตระกูลฟ่าน
ในทุกสถานประกอบการของตระกูลฟ่าน ห้องวีไอพีสุดหรูและที่นั่งชั้นลอยพิเศษหลายแห่ง เปิดให้เฉพาะแขกวีไอพีเท่านั้น แม้ลูกค้าทั่วไปจะจ่ายเท่าไรก็เข้าใช้ไม่ได้
แต่บัตรที่เย่เฉิงเฟิงได้รับนั้น อยู่เหนือกว่าแขกวีไอพีเสียอีก สามารถใช้บริการที่นั่งชั้นลอยระดับพรีเมียมสูงสุดได้
นี่มันจะเป็นบัตรสมาชิกธรรมดาตามที่ท่านฟ่านพูดได้ยังไง? มันคือบัตรวีไอพีพรีเมียมของแท้!
หลังจากออกมาจากวิลล่าท่านฟ่าน เย่เฉิงเฟิงก็ออกมาจากเจียงปินการ์เดนแล้วเดินเรื่อยเปื่อยบนถนน
พอเริ่มรู้สึกเบื่อ เย่เฉิงเฟิงก็กะว่าจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาว่าควรกลับไปพักได้หรือยัง
แต่พอเขาเพิ่งหยิบโทรศัพท์ออกมาจากแหวนเก็บของ ก็มีสายจากเหยียนอี๋เยว่โทรเข้ามาทันที
“ผู้บังคับบัญชาเย่ คุณไปไหนมาคะ! โทรหาคุณตั้งหลายรอบก็ไม่ติดเลย!”
“เอ่อ...เมื่อกี้ฉันอาจจะเผลอปิดเครื่องน่ะ”
เย่เฉิงเฟิงเหลือบมองแหวนเก็บของที่นิ้ว แล้วหัวเราะฝืด ๆ ออกมา
เขาไม่ชอบพกของไว้ในกระเป๋ากางเกงเยอะ ๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ ไฟแช็ก โทรศัพท์ ล้วนถูกเก็บไว้ในแหวนเก็บของ ซึ่งดันไปตัดสัญญาณ ย่อมทำให้เหยียนอี๋เยว่โทรไม่ติด
“โกหก! ระบบบอกว่าอยู่นอกพื้นที่ให้บริการนะ!” เหยียนอี๋เยว่บ่นอุบอิบ แล้วพูดขึ้นด้วยความตกใจโอเวอร์ว่า “ผู้บังคับบัญชาเย่ คุณคงไม่ได้...นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปเมืองนอกเพื่อจีบสาวฝรั่งหรอกนะ?”
“ฉันเป็นคนแบบนี้เหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงเบิกตากว้าง พลางแอบปวดหัวที่ยัยนี่เอาแต่จินตนาการเพ้อเจ้อทั้งวัน ใครจะว่างจัดขนาดบินไปเมืองนอกเพื่อไปหาสาวฝรั่ง?
อย่างน้อยเย่เฉิงเฟิงอย่างเขา ก็ไม่ได้ขาดสาว ๆ ขนาดนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าบอกเหยียนอี๋เยว่ว่า ‘โทรศัพท์โทรไม่ติดเพราะอยู่ในแหวนเก็บของ’ หรอกนะ
“ก็คุณมันเจ้าชู้นี่”
เหยียนอี๋เยว่ส่งเสียงฮึดฮัด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสมน้ำหน้าว่า “เมื่อสิบนาทีก่อน หลินจื่อเวยกับน้องสาวขับเฟอร์รารี่ 458 คันแดงออกไปแล้วล่ะ คุณก็หาทางจัดการเองละกันนะ”
“เธอ...คอยดูเถอะ เดี๋ยวคืนนี้กลับมาจัดการเธอแน่!”
เย่เฉิงเฟิงได้ยินน้ำเสียงสมน้ำหน้าของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะสวนกลับว่า “เธอควรหาข้อแก้ตัวไว้ให้ดีล่ะ ดึก ๆ หาข้ออ้างทำกับข้าวไม่ได้แล้วนะ”
“……”
ในขณะที่เหยียนอี๋เยว่อ้าปากเหวอ ไม่รู้จะตอบอะไร เย่เฉิงเฟิงก็วางสายไปแล้ว และเริ่มออกค้นหาไปตามถนน โดยอาศัยกระแสจิตช่วยตรวจหาตำแหน่งของหลินจื่อเวยกับน้องสาวเป็นระยะ
ไม่นานนัก เขาก็พบรถเฟอร์รารี่ 458 คันนั้นจอดอยู่หน้าประตูบาร์แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘จักรพรรดิ’ และพบว่าข้าง ๆ มีรถมาเซราติสีน้ำเงินอีกคันจอดอยู่ด้วย!
ชัดเจนเลยว่า หลินจื่อเวย หลินจื่อเฉียง และตงฟางเสวี่ยกำลังดื่มกันอยู่ในบาร์จักรพรรดิ
เย่เฉิงเฟิงจึงก้าวเข้าไปโดยไม่คิดเลย
เมื่อเทียบกับบาร์ราคาถูกที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงอึกทึกและผู้คนหลากชนชั้น บาร์จักรพรรดิแห่งนี้นับได้ว่าหรูหราสง่างาม และอบอวลไปด้วยบรรยากาศโรแมนติกน่ารื่นรมย์
คนที่เดินไปเดินมา ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็นคนรวยจากแถวเจียงปินการ์เดน ไม่ว่าจะการแต่งตัวหรือกิริยามารยาท ต่างก็ดูมีระดับมาก
แต่ราคาเครื่องดื่มก็แพงจนน่าโมโห
เย่เฉิงเฟิงสุ่มสั่งวิสกี้มาหนึ่งแก้ว กลับต้องจ่ายถึงห้าร้อยหยวน
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมาเฝ้าดูหลินจื่อเวย เขาคงเดินหนีไปนานแล้ว แบบนี้มันโกงกันชัด ๆ เลยไม่ใช่หรือไง!
เขาจึงทำได้เพียงล้วงกระเป๋าอย่างจนปัญญา
แต่พอล้วงดูแล้ว เย่เฉิงเฟิงกลับพบอย่างน่าอายว่ามีแค่สี่ร้อยหยวนเท่านั้น
“หลินจื่อเวยกับน้องสาวอยู่ที่นี่ ไปยืมเงินพวกเธอดีไหมนะ?”
เย่เฉิงเฟิงเหลือบมอง แล้วพบว่าข้าง ๆ หลินจื่อเวยกับหลินจื่อเฉียงมีตงฟางเสวี่ยด้วย!
เวลานี้ทั้งสามคนล้อมวงกันที่โต๊ะเหล้า ก้มหน้าคุยกันอย่างสนิทสนม พลางหัวเราะเสียงใสเป็นระยะ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอยู่