บทที่ 19 ปล่อยเธอนะ!
ได้ยินประโยคนี้ เย่เฉิงเฟิงถึงกับยืนช็อกอยู่หน้าประตูพร้อมกับกล่องข้าว เหมือนโดนฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง
สาวออฟฟิศพวกนั้นก็รู้สึกไวเหมือนกัน แทบจะหันไปมองเขาอย่างพร้อมเพรียง
พอพวกเธอเห็นว่าคนที่มาเป็นรปภ.ผู้ชาย แถมยังได้ยินบทสนทนานั้นอีก ก็ถึงกับช็อกกันหมด
บางคนก็อายหน้าแดงเหมือนปูต้มสุก อยากมุดดินหนีให้ได้เลย
“สวัสดีครับทุกคน ผมแค่มาขอตากแอร์ที่นี่หน่อย”
เย่เฉิงเฟิงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอฟังคำตอบจากสาวออฟฟิศสุดเซ็กซี่พวกนั้น เขาก็หาที่นั่งมุมห้องแล้วนั่งลง กินข้าวพลางใช้กระแสจิตจับตาดูความเคลื่อนไหวในห้องทำงานของหลินจื่อเวยต่อไป
“นั่นใครน่ะ? ไร้มารยาทจังเลย?”
“รปภ.คนนี้...ทำไมดูคุ้น ๆ นะ? อ๋อ ใช่แล้ว ฉันจำได้แล้ว เขาคือคนใหม่ที่มาประจำการหน้าประตูไง”
“พูดจริง ๆ นะ ทั้งสูงทั้งหล่อ แถมหุ่นดีอีกต่างหาก!”
เหล่าสาวออฟฟิศรีบสลัดความเขินอาย แล้วเริ่มกระซิบกระซาบคุยกันอย่างคึกคัก
จากนั้นสายตาที่ร้อนแรงของพวกเธอก็เริ่มไล่มองไปที่ใบหน้าของเย่เฉิงเฟิง รวมถึงหน้าอก และแม้แต่ช่วงล่างของเขา...อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
เวลาผู้หญิงมองผู้ชาย จริง ๆ แล้วก็ไม่ต่างจากผู้ชายมองผู้หญิงสักเท่าไร
กล้ามต้นแขนหรือกล้ามหน้าอกที่ผู้ชายบางคนไม่เห็นว่ามีอะไรน่าดึงดูด ในสายตาผู้หญิงกลับกลายเป็นเสน่ห์ร้ายกาจ
ก็เหมือนกับเวลาผู้ชายมองหน้าอก สะโพก หรือต้นขาของผู้หญิงนั่นแหละ ขอแค่ไม่เสียรูปทรง ก็ล้วนดูเซ็กซี่ทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เย่เฉิงเฟิงถึงแม้จะไม่ได้หล่อแบบสุด ๆ แต่ก็หล่อแบบมองได้ไม่เบื่อ
ใบหน้าคมเข้ม ราวกับถูกสลักด้วยมีด
อีกทั้งเขาฝึกบำเพ็ญเซียน แต่เพราะใช้ชีวิตในป่าฝนเขตร้อนในต่างประเทศอยู่หลายปี จึงมีผิวสีแทนดูสุขภาพดี ทำเอาผู้หญิงใจละลายได้ง่าย ๆ
ดูสิ เย่เฉิงเฟิงเพิ่งนั่งลงได้ไม่ถึงสองนาที ก็มีสาวออฟฟิศหน้าตาดีเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“พี่รปภ.คะ อากาศร้อนขนาดนี้ ลำบากแย่เลยนะคะ ไม่งั้นถ้าว่าง ๆ ก็ขึ้นมานั่งตากแอร์ที่ชั้นเราก็ได้นะ”
พูดจบ สาวออฟฟิศในถุงน่องสีดำก็เสนอตัวยื่นนามบัตรให้เขาก่อน
“สมัยนี้แล้วยังใช้นามบัตรอีกเหรอเนี่ย!”
สาวออฟฟิศอีกคนที่โชว์เรียวขาก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “สุดหล่อ ขอเบอร์โทรศัพท์หรือไม่ก็วีแชทหน่อยสิ? เราทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน เผื่อจะได้ดูแลกันนะ!”
เมื่อเผชิญกับสาวออฟฟิศที่ทั้งใจดีและรูปร่างดีแบบนี้ ถ้าเป็นปกติ เย่เฉิงเฟิงคงจะดีใจจนหุบยิ้มไม่อยู่ ไม่รอช้าที่จะหยิบมือถือมาแลกเบอร์ติดต่อกับพวกเธอทันที
แต่ตอนนี้ เขากลับไม่มีอารมณ์หรือความคิดแบบนั้น
ในเวลานี้ เขาใช้กระแสจิตจ้องมองและพบว่าชายชุดจงซานคนนั้นกำลังบีบคอของหลินจื่อเวยที่ขาวเนียนนุ่มแล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “บอกมา! เซรุ่มยอดมนุษย์อยู่ที่ไหน?”
"เวรเอ๊ย ถ้ารู้ว่าจะตรงไปตรงมาแบบนี้ ฉันน่าจะจัดการมันไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้!"
เย่เฉิงเฟิงสบถในใจ ก่อนจะไม่สนใจสาวออฟฟิศอีกต่อไป หยิบกล่องข้าวที่ยังกินไม่หมดแล้วพุ่งออกจากห้องทำงานรวมทันที
“ปัง!”
เพียงเตะเข้าไปทีเดียว ประตูห้องทำงานของหลินจื่อเวยก็พังไปตามเสียงทันที!
“ปล่อยเธอนะ!”
นิสัยของเย่เฉิงเฟิงก็แบบนี้แหละ ไม่เคยคิดมากอะไรทั้งนั้น
เขาพังประตูเข้าไปแล้วก็พูดด้วยเสียงเย็นชาใส่ชายชุดจงซานที่กำลังบีบคอหลินจื่อเวยว่า “ไม่ว่าแกเป็นใคร ให้เวลาแกสามวินาที! ไม่งั้นแกจะมีจุดจบเดียว!”
“แกเนี่ยนะ?”
ชายชุดจงซานมองประเมินเย่เฉิงเฟิงสักพัก แล้วก็แสดงความดูถูกออกมาอย่างชัดเจน
ในฐานะจอมยุทธโบราณ เขากลับไม่รู้สึกถึงคลื่นชี่แท้ใด ๆ จากตัวเย่เฉิงเฟิงเลย
พูดง่าย ๆ คือ ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่จอมยุทธโบราณ
แต่ถ้าเขารู้ว่าพลังที่เย่เฉิงเฟิงครอบครองนั้น แท้จริงแล้วเป็นพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนล่ะก็ คงไม่กล้าประมาทแบบนี้แน่
“พูดแบบนี้ แสดงว่าแกจะไม่ปล่อยเธอสินะ?”
เวลานี้เย่เฉิงเฟิงตักข้าวเข้าปากอีกคำ
“ไสหัวไป!”
ชายชุดจงซานตะโกนเสียงดัง แล้วปล่อยหลินจื่อเวยทันที ก่อนจะวาบร่างมาอยู่ตรงหน้าเย่เฉิงเฟิง พร้อมฟาดฝ่ามือใส่อย่างรุนแรง
ทำให้หลินจื่อเวยถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจว่า “ระวังนะ!”
“แกนั่นแหละที่ต้องไสหัวไป!”
เย่เฉิงเฟิงจ้องด้วยแววตาเย็นชาพร้อมเผยรังสีสังหารอันดุดันออกมา ไม่หลบไม่เลี่ยงแม้แต่น้อย โจมตีสวนกลับด้วยฝ่ามือทันที
“ผลัวะ!”
พลังวิญญาณปะทุออกมาอย่างรุนแรง ชายชุดจงซานถึงกับกระอักเลือดทันที ร่างปลิวลอยละลิ่วไร้การควบคุม พุ่งทะลุกระจกหน้าต่างออกไป
“อ๊าก~”
“สำนักเสวียนหู่ของฉัน ไม่มีวันปล่อยแกไปแน่!”
“ตุ้บ!”
พร้อมกับเสียงกระแทกหนัก ๆ ชายชุดจงซานก็ร่วงลงมาตายทันที เลือดไหลนองเต็มพื้น
“ประธานหลิน! คุณไม่เป็นอะไรนะ?”
เย่เฉิงเฟิงเดินไปที่หน้าต่าง พอแน่ใจว่าชายชุดจงซานตายแล้ว จึงหันไปมองหลินจื่อเวย
แต่หลินจื่อเวยตกใจฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวของเขามากจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ชายชุดจงซานตบฝ่ามือทีเดียวก็ทำโต๊ะน้ำชาในห้องทำงานเธอแตกกระจาย เพื่อที่จะข่มขู่เธอ
โต๊ะตัวนั้นทำจากหินอ่อนชั้นดี หนาเกือบสิบเซนติเมตรเลยทีเดียว!
แต่ตอนนี้ เย่เฉิงเฟิงกลับรับการปะทะกับชายชุดจงซานได้สบาย ๆ ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่รับไม่ไหวจนถูกซัดปลิวออกไป
ต้องมีพลังรุนแรงขนาดไหนกันถึงจะทำแบบนี้ได้?
แต่ในสายตาของหลินจื่อเวย เย่เฉิงเฟิงก็เป็นแค่รปภ.ธรรมดาที่เพิ่งเข้ามาใหม่เท่านั้น
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงกะทันหันอย่างใหญ่หลวงของเย่เฉิงเฟิง จึงทำให้หลินจื่อเวยแทบไม่อยากเชื่อ และตะโกนใส่เขาว่า “อย่านะ! นายอย่าเข้ามานะ——”
“ประธานหลิน! ผมเป็นรปภ.บริษัทคุณนะครับ!”
เย่เฉิงเฟิงก้าวเข้าไปใกล้อีกสองก้าวด้วยความเป็นห่วง
“อย่าเข้ามา!”
หลินจื่อเวยพูดด้วยเสียงสั่น ขาทั้งสองข้างของเธอเข้าใกล้ขอบหน้าต่างแล้ว “ถึงจะตาย ฉันก็ไม่มีวันยอมมอบเซรุ่มยอดมนุษย์ให้พวกแก!”
เพราะในความคิดของเธอ เย่เฉิงเฟิงก็มุ่งมาหาเซรุ่มยอดมนุษย์เหมือนกับผู้ชายใส่ชุดจงซานคนนั้น
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร!”
เย่เฉิงเฟิงแสร้งว่าไม่เข้าใจ พลางยกมือขึ้น จากนั้นก็พุ่งตัวเข้ากอดร่างอ่อนนุ่มของเธอแน่น แล้วตบแผ่นหลังของเธอเบา ๆ พลางปลอบว่า “ไม่ต้องกลัวนะ มีผมอยู่ จะไม่มีใครทำร้ายคุณได้! และจะไม่มีใครแย่งเซรุ่มไปจากคุณได้ด้วย!”
ดูเหมือนว่าคำปลอบของเย่เฉิงเฟิงจะได้ผล หรือไม่ก็หลินจื่อเวยอาจจะเริ่มตระหนักว่าเธอเข้าใจเขาผิดไป
ดังนั้นหลินจื่อเวยจึงกลับมาเป็นปกติ ยอมซบอกเย่เฉิงเฟิงอย่างว่าง่าย
แต่ร่างงามที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอก็ยังคงสั่นระริก
“เกิดอะไรขึ้น?”
วังเสี่ยวฮั่นเลขาของหลินจื่อเวย ในตอนนี้วิ่งหอบแฮ่ก ๆ มาพร้อมกับสมาชิกหน่วยรักษาความปลอดภัยสองคน
ถ้าเป็นเวลาปกติ วังเสี่ยวฮั่นเห็นว่าเย่เฉิงเฟิงกล้ากอดหลินจื่อเวย แถมหลินจื่อเวยยังไม่ขัดขืน ต้องตกใจจนช็อกแน่ ๆ
แต่ตอนนี้เธอกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น “เมื่อกี้ ฉันเห็นมีคนตกลงมาจากหน้าต่างห้องทำงานประธานหลิน ก็เลยรีบพาคนมาทันที”
“คนนั้นมีเจตนาจะลอบสังหารประธานหลิน บังเอิญผมตากแอร์อยู่ที่ห้องทำงานรวมข้าง ๆ ก็เลยรีบวิ่งมาสู้กับคนร้าย แล้วคนร้ายนั่นก็คุมตัวเองไม่อยู่เลยพลัดตกหน้าต่างไป”
เย่เฉิงเฟิงพูดแบบเบี่ยงประเด็น พยายามลดความรุนแรงของเรื่อง แล้วยังทำท่าทางเหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา