บทที่ 18 ชายชุดจงซานผู้ลึกลับ
“สมัยนี้สาวสวยจีบหนุ่มหล่อ ต้องใช้มุกซ้ำซากแบบนี้ด้วยเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะเบา ๆ แทนที่จะตอบกลับ ดันย้อนถามแทน
“อย่ามั่นหน้าเกิน ฉันถามนายจริง ๆ นะ”
ตงฟางเสวี่ยไม่พอใจเล็กน้อย
“ก็ได้ จริง ๆ เราเคยเจอกันมาก่อน”
ขณะที่เย่เฉิงเฟิงพูด ก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกไปเข้าใกล้เรียวขาสวยของตงฟางเสวี่ยที่ห่อหุ้มด้วยถุงน่องสีดำ แสดงท่าทีเหมือนจะจับแต่แขนกลับยาวไม่พอ “ถ้าคุณเข้ามาใกล้อีกนิด ผมจะเล่าฉากที่เราเจอกันอย่างละเอียดให้ฟังเลย”
“ฝันไปเถอะ! เชื่อไหมว่าฉันจะฟ้องประธานหลินของนาย?”
ตงฟางเสวี่ยถอยออกไปไกลทันที
บนใบหน้าที่งามเลิศล้ำของเธอ พลันปรากฏร่องรอยเย็นชาขึ้นมา
เพียงพริบตาเดียว เธอก็เดินออกจากห้องรักษาความปลอดภัยด้วยความผิดหวัง หันหลังกลับขึ้นรถมาเซราติแล้วขับพุ่งเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว
ถ้าจะพูดว่าเมื่อก่อนตงฟางเสวี่ยมีท่าทีเป็นมิตรกับเย่เฉิงเฟิง แม้กระทั่งรู้สึกขอบคุณเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นความรังเกียจแล้ว
ชายหนุ่มที่ช่วยเธอบนเครื่องบินนั้น เรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษตั้งแต่ต้นจนจบ มีสายตาใสซื่อ เต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม
เธอดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล เขาก็เตือนด้วยความหวังดีว่ามันจะขมมาก
เมื่อเธอไม่อยากคุยกับใคร เขาก็รู้จักกาลเทศะและเงียบปากทันที
เมื่อเธอเผชิญกับอันตราย เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบพุ่งเข้ามาช่วยทันที
แต่รปภ.เฝ้าประตูคนตรงหน้า กลับพยายามจะลวนลามเธอตั้งแต่แรกเห็น บุคลิกและท่าทีของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะเป็นคนเดียวกัน
แต่ถ้าตงฟางเสวี่ยรู้
ว่ารปภ.จอมลามกที่เพิ่งพยายามลวนลามเธอเมื่อครู่นั้น ที่จริงแล้วก็คือสุภาพบุรุษที่ช่วยเธอบนเครื่องบินนั่นแหละ แถมยังเป็นคุณชายตกอับที่เธอถอนหมั้นไปเมื่อสิบปีก่อน ก็ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกยังไง!
ตงฟางเสวี่ยเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพหลินซื่อ หลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาที ก็ขับรถมาเซราติออกไป
จากนั้นไม่ถึงห้านาที หลินจื่อเฉียงก็ขับเฟอร์รารี่ 458 สีแดงคันนั้นออกมา
แต่ก่อนจะไป เธอก็ยิ้มแย้มแล้วพูดกับเย่เฉิงเฟิงว่า "พี่เทพรถซิ่ง อย่าลืมไปรับพี่สาวฉันกลับบ้านหลังเลิกงานด้วยนะ ถ้าทำตัวดี ๆ ละก็ ไม่แน่พี่สาวฉันอาจจะจ้างนายเป็นคนขับรถประจำตัวก็ได้"
“ได้ ไม่มีปัญหา”
เย่เฉิงเฟิงพยักหน้า แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้
ถ้าแผ่นแปะหน้าอกรูปหัวใจบนรถเลกซัสเป็นของหลินจื่อเฉียงจริง แล้วทำไมเธอถึงจำไม่ได้เลยล่ะ? ไม่น่าจะความจำแย่ขนาดนั้นนะ
หรือว่าจริง ๆ แล้วเป็นของซีอีโอสาวสวย หลินจื่อเวย?
ตอนเที่ยงของวันนี้ พนักงานส่งอาหารเมื่อวานก็เอาอาหารมาให้เย่เฉิงเฟิงอย่างกระตือรือร้น พร้อมเก็บเงินเขายี่สิบหยวน
แต่ตอนที่เย่เฉิงเฟิงกำลังจะอ้าปากกินข้าว เขาก็หันไปเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดจงซานสีดำ เดินวนไปวนมาอย่างลับๆ ล่อ ๆ
ความจำของเย่เฉิงเฟิงนั้นดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้ามีใครเดินผ่านหน้าประตูนี้แค่สองรอบ เขาก็จำได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ชายชุดจงซานคนนั้นยังเดินวนอยู่ถึงหกรอบเต็ม ๆ เย่เฉิงเฟิงจึงอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชายคนนั้นคงอยากจะเข้าไปในบริษัทหลินซื่อ แต่คงมีอะไรที่ทำให้ลังเลเลยไม่กล้าเข้าไป
ด้วยเหตุนี้ เย่เฉิงเฟิงจึงจำได้ขึ้นใจเป็นพิเศษ
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชายคนนั้นยังใส่ชุดจงซานอีกด้วย!
ในยุคที่ผู้คนไล่ตามแฟชั่นแบบนี้ เย่เฉิงเฟิงรู้สึกว่าชุดจงซานแทบจะเหมือนชุดโบราณไปแล้ว
แถมตอนนี้ยังเป็นหน้าร้อนสุด ๆ คนที่สมองมีปัญหาเท่านั้นแหละถึงจะใส่อะไรหนา ๆ แบบนั้น
ความเป็นไปได้เดียวคือ ผู้ชายคนนั้นเพิ่งออกมาจากภูเขาอันหนาวเย็น แล้วอาจรู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะถอดเสื้อ
ดังนั้น คนที่ไม่เข้ากับเมืองใหญ่อันวุ่นวายแบบนี้เลย จะไม่สะดุดตาได้ยังไง?
“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร ถ้ากล้าคิดร้ายกับหลินจื่อเวย อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจล่ะ!”
แววตาเย่เฉิงเฟิงปรากฏประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจอาหารในมือ กินอย่างเอร็ดอร่อยแบบไม่รีบร้อน
ทว่าเขายังไม่ทันกินได้ถึงครึ่ง กลับรู้สึกถึงคลื่นพลังชี่แท้วิทยายุทธโบราณที่แผ่วเบาเล็กน้อย
แม้จะปรากฏวูบเดียวแล้วหายไป แต่เย่เฉิงเฟิงก็ยังสามารถจับสัมผัสได้
จึงใช้กระแสจิตตรวจสอบ เขาพบว่าชายชุดจงซานได้กระโดดข้ามกำแพงเข้าสู่บริษัทหลินซื่อ มุ่งหน้าไปยังตึกสำนักงานแล้ว
"มีประตูดี ๆ ไม่เดินเข้า ดันจะปีนกำแพง ดูท่าแล้วไม่ใช่คนดีแน่!"
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะเยาะเบา ๆ ก่อนจะใช้วิทยุสื่อสารเรียกเพื่อนรปภ.มาช่วยเฝ้าประตู แล้วตัวเองก็ค่อย ๆ เดินตามไปพลางกินข้าวกล่องอย่างไม่รีบร้อน
เนื่องจากเขาใส่เครื่องแบบรปภ.ของบริษัทหลินซื่อ และยังมีบัตรพนักงาน การกระทำของเย่เฉิงเฟิงในตอนนี้จึงไม่มีใครสังเกตหรือสงสัยเลย
แต่เป็นชายชุดจงซานคนนั้นที่น่าสงสัยมากกว่า เพราะทั้งไม่มีบัตรพนักงาน ทั้งยังแต่งตัวเชยแปลกตา และดูไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในบริษัท ทำให้ตลอดทางมีแต่คนหันมอง
แต่อย่างไรก็ตาม ก็แค่ทำให้คนหันมองเท่านั้น
ทุกคนต่างรู้สึกว่าในเมื่อ รปภ.ที่เฝ้าประตูก็ปล่อยให้ผ่านแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นหุ้นส่วนสำคัญล่ะก็ ไม่เท่ากับหาเรื่องซวยเหรอ?
กลับเป็นชายชุดจงซานคนนั้นที่เป็นฝ่ายเข้าไปถามพนักงานเอกสารที่เดินผ่านมาว่า ห้องทำงานของหลินจื่อเวยอยู่ที่ไหน
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ชายชุดจงซานก็รีบตรงไปยังชั้น 12 ทันที
แต่เมื่อเขาไปถึงหน้าลิฟต์ ก็มองซ้ายมองขวา กดปุ่มตรงนั้นตรงนี้ แต่ลิฟต์ก็ไม่มาสักที สุดท้ายก็ส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนแล้วเดินขึ้นบันไดแทน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าการใช้ลิฟต์ต้องรอ
“แต่งตัวก็ย้อนยุค ทักษะการใช้ชีวิตก็ล้าสมัย แถมยังรู้วิทยายุทธโบราณอีก...หรือว่าเขาจะมาจากสำนักเร้นลับกันแน่?”
เย่เฉิงเฟิงยืนอยู่หน้าลิฟต์ คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้น 12 อย่างไม่ลังเล
เดิมทีคิดว่า ชายชุดจงซานคนนั้นจะใช้เวลาพอสมควรในการเดินขึ้นบันได
แต่สิ่งที่ทำให้เย่เฉิงเฟิงแปลกใจเล็กน้อยก็คือ ตอนเขาเพิ่งก้าวออกจากลิฟต์ ชายชุดจงซานคนนั้นก็ขึ้นมาถึงชั้น 12 แล้ว แทบจะพร้อมกันเลย!
มีฝีมือจริง ๆ ด้วย!
เย่เฉิงเฟิงมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็เดินตรงไปยังห้องทำงานรวมขนาดใหญ่ทันที
ขณะเดินผ่านห้องทำงานซีอีโอ เย่เฉิงเฟิงก็ใช้กระแสจิตตรวจพบว่า หลินจื่อเวยใส่เสื้อกาวน์สีขาวกำลังกินอาหารกล่องอยู่
“เธอไม่ใช่ซีอีโอธรรมดาจริงด้วยแฮะ!”
เย่เฉิงเฟิงพูดในใจเงียบ ๆ ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปในห้องทำงานรวมที่อยู่ไม่ไกล ตั้งใจจะใช้กระแสจิตเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวในห้องทำงานหลินจื่อเวย
แต่สิ่งที่เย่เฉิงเฟิงไม่คาดคิดที่สุดก็คือ ห้องทำงานรวมตอนนี้เต็มไปด้วยสาวออฟฟิศในชุดเครื่องแบบ ขาเรียวยาวสวมถุงน่อง เรียงรายกันถึงยี่สิบคน
พวกเธอล้อมวงกินข้าวกล่องกันอย่างสุภาพ แต่คุยเรื่องผู้ชายกันอย่างเปิดเผย
ทันทีที่เย่เฉิงเฟิงเดินเข้าไป ก็ได้ยินสาวออฟฟิศสายโหดคนหนึ่งพูดว่า “แฟนฉันก็เป็นแบบนี้แหละ หลังจากมีอะไรกันเสร็จก็สูบบุหรี่ น่ารำคาญจะตาย ถ้าเขาทำให้นานกว่านี้หน่อยก็คงดี แต่นายนั่นดันปล่อยให้ฉันค้างเติ่งอยู่แบบนั้น อึดอัดจะตาย”
“……”