บทที่ 11 เซรุ่มยอดมนุษย์?
“แค่นี้จิ๊บ ๆ”
เย่เฉิงเฟิงยิ้ม ความเร็วไม่ลดลงแม้แต่น้อย “เห็นแก่ที่คุณให้รถผม ผมสอนคุณฟรีได้นะ”
“แค่ชมนิดเดียว ทำไมต้องเวอร์ด้วย?”
หลินจื่อเฉียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ แต่แววตาที่มองเย่เฉิงเฟิงไม่ได้ระแวงกับดูแคลนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ลึก ๆ แล้วมีความเลื่อมใสอยู่บ้าง
“ไม่เชื่อว่าผมสอนคุณได้?”
เย่เฉิงเฟิงเหยียบเบรกกะทันหัน แล้วหักพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว
เลกซัส แอลเอ็กซ์ดริฟต์อีกครั้ง!
แถมยังแซงรถอีกคันไปอย่างเท่เลย แล้วส่งเสียงกระหึ่มพุ่งไปข้างหน้าต่อ ความเร็วใกล้ถึงร้อยห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง
ขับเร็วเกินกำหนดแล้ว!
ถึงจะอยู่บนทางด่วน ก็เร็วเกินกำหนดอยู่ดี!
“พระเจ้าช่วย นาย นาย นาย...ขับจนไม่กล้ามองแล้ว!”
หลินจื่อเฉียงอ้าปากค้าง ไม่นานเธอก็ชี้ไปข้างหน้า แล้วกรีดร้องขึ้นมา “จะ...จะชนแล้ว!”
“ไม่เป็นไร”
เย่เฉิงเฟิงหักพวงมาลัยแบบสบาย ๆ รถก็แทรกตัวไปถนนอีกเลนอย่างคล่องแคล่ว แซงคันอื่นเสร็จก็ค่อยกลับมาเลนเดิม
หลังจากนั้น เย่เฉิงเฟิงก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
รถเอสยูวีที่ตอนแรกดูเทอะทะ แต่พอเย่เฉิงเฟิงมาคุมกลับพลิ้วไหวคล่องแคล่ว แทรกตัวผ่านจราจรแน่นขนัดได้อย่างว่องไวทรงพลัง แซงรถไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
แม้ว่าพื้นที่สำหรับแซงรถจะคับแคบ เย่เฉิงเฟิงก็ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
ระยะห่างรถที่ใกล้มากกับการคาดการณ์อันแม่นยำ น่าทึ่งจนต้องอุทาน!
ถ้ามองจากบนฟ้า เหมือนทั้งโลกกำลังหยุดนิ่ง มีเพียงเลกซัสที่เย่เฉิงเฟิงขับอยู่แทรกตัวไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วพลิ้วไหว
แน่นอนว่าสำหรับกับวังเสี่ยวฮั่นแล้ว นี่คือฝีมือขับรถระดับเทพอย่างแท้จริง
แต่สำหรับเย่เฉิงเฟิงแล้ว มันก็แค่เรื่องกล้วย ๆ
เพราะพลังบำเพ็ญเซียนของเขาไม่ธรรมดา
จราจรที่แน่นและเร็วในสายตาคนอื่น กลายเป็นช้าเหมือนหอยทากสำหรับสายตาเขา พื้นที่ให้ขับผ่านไปก็กว้างมาก
ในขณะเดียวกัน การตอบสนองทางร่างกายเขาก็ดีพอที่จะสามารถควบคุมรถในย่านใจกลางเมืองด้วยความเร็วร้อยห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมงได้อย่างง่ายดาย
ส่วนการขับด้วยระยะห่างอันตรายกับการคาดการณ์อย่างแม่นยำ ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับกระแสจิตของเขา
เพียงใช้กระแสจิตกวาดผ่านเบา ๆ เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่แคบข้างหน้าสามารถให้ตัวรถเลกซัส แอลเอ็กซ์ขับผ่านได้หรือไม่ราวกับวัดมาแล้ว
เพียงสิบกว่านาที ก็มาถึงโรงพยาบาลอันดับหนึ่งแห่งเมืองฮู่แล้ว
เย่เฉิงเฟิงเหยียบเบรกกะทันหัน แล้วยิ้มกว้างสดใส “ว่างไง ถือว่าผมชนะไหม?”
หลินจื่อเฉียงพยักหน้า ยกนิ้วโป้งให้ แต่พูดอะไรไม่ออก ใบหน้าสวยซีดเผือด
“เป็นอะไรครับ? สีหน้าคุณแย่จัง?”
“แหวะ~”
หลินจื่อเฉียงทนไม่ไหวแล้ว เปิดประตูอาเจียนทันที
ตลอดเวลาที่ขับรถมานาน เธอไม่เคยเมารถเลย นี่เป็นครั้งแรกที่นั่งรถแล้วอาเจียน แถมใช้เวลาสั้น ๆ เพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น
สำหรับเธอแล้วทักษะการขับรถของเย่เฉิงเฟิง อยู่ในระดับเทพปีศาจเลยทีเดียว
ในย่านใจกลางเมืองที่จราจรแน่นขนัดแบบนี้ เขายังรักษาความเร็วไว้ที่หนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมงได้อีก!
นี่ไม่ใช่เหนือมนุษย์แล้วจะอะไรอีก?
ต่อให้เป็นนักแข่งรถชื่อดังระดับโลก ก็เทียบปฏิกิริยาตอบสนองกับความเร็วอันน่ากลัวของเขาไม่ได้เลย
ชั่วขณะหนึ่ง หลินจื่อเฉียงพลันรู้สึกว่าเลกซัส แอลเอ็กซ์ราคาเกือบสองล้านคันนี้ ไม่คู่ควรกับทักษะขับรถอันน่าสะพรึงกลัวของเย่เฉิงเฟิงเลย
“เลขาวัง คุณก็เมารถด้วยเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงมองไปเบาะหลัง เห็นเพียงวังเสี่ยวฮั่นกอดหลินจื่อเวยเอาไว้ หดตัวอยู่ในมุมอย่างขลาดกลัว ราวกับเห็นสัตว์ประหลาดน่ากลัวบางอย่าง
“ฉัน...ฉันไม่อยากนั่งรถที่นายขับอีกแล้ว”
วังเสี่ยวฮั่นยังหวาดผวาไม่หาย
ตลอดทางมานี้ เธอกังวลอยู่ตลอดว่าเย่เฉิงเฟิงจะขับรถชนคนอื่น
ภายในเวลาสั้น ๆ เธอถึงกับอยากใช้โทรศัพท์บันทึกคำสั่งเสียไว้ด้วยซ้ำ
“เอาน่า คุณต้องพักผ่อนให้มาก ๆ”
เย่เฉิงเฟิงกระตุกมุมปาก แล้วพูดกับหลินจื่อเวยทันทีว่า “ประธานหลิน คุณน่าจะตื่นแล้วนะ?”
ได้ยินประโยคนี้ คิ้วสวยของหลินจื่อเวยก็กระตุกขึ้นมา ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ในขณะนี้ เธองดงามเปล่งประกายจนทำให้เย่เฉิงเฟิงมองจนตะลึงอย่างอดไม่ได้
ที่แท้ตอนที่หลินจื่อเวยหน้าแดง ก็น่าดึงดูดใจขนาดนี้นี่เอง
“พี่! ที่แท้พี่ก็ตื่นนานแล้ว”
หลินจื่อเฉียงเช็ดปาก พร้อมทำหน้าตกใจ
“เพิ่งตื่นได้ไม่นาน แต่รถขับหวาดเสียวมากเลยไม่กล้าลืมตา”
หลินจื่อเวยยักไหล่ ดวงตาคู่สวยมองเย่เฉิงเฟิง แล้วพูดขึ้นด้วยความอยากรู้ “นายเคยอยู่กองทัพหน่วยไหนมา?”
“ผมเป็นแค่พลทหารขับรถทั่วไป”
เย่เฉิงเฟิงไม่รู้ว่าเธอสงสัยหรือว่าอยากรู้จริง ๆ
“มิน่าล่ะ” หลินจื่อเวยพยักหน้า แล้วเบะปากพูดขึ้นทันที “ขับรถกลับบริษัทเถอะ แต่ช้า ๆ หน่อยนะ”
“เอ่อ มาถึงโรงพยาบาลแล้ว ประธานหลินไม่ไปทำแผลหน่อยเหรอครับ?”
เย่เฉิงเฟิงอ้าปากเหวอด้วยความแปลกใจ
“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
หลินจื่อเวยส่ายหน้า ใบหน้าสวยพราวเสน่ห์แดงขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง
ความจริงแล้วก่อนจะเป็นลม เธอเห็นผ่านกระจกมองหลังแล้วว่าเย่เฉิงเฟิงพุ่งมาหาบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หกของเธอ
หลังจากนั้น ในความสะลึมสะลือ หลินจื่อเวยรู้สึกว่ามีคนอุ้มตัวเอง แล้วได้กลิ่นสมุนไพรหลากชนิด
ดังนั้นแล้ว เธอในฐานะผู้มีความรู้ด้านการแพทย์ รู้ว่าแผลที่หน้าผากตนสามารถรักษาหายได้ด้วยสมุนไพรนั้น ตอนนี้ฟื้นแล้วจึงไม่อยากลำบากเข้าโรงพยาบาล
ยิ่งไปกว่านั้น เธอแค่หน้าผากถลอกนิดหน่อยจริง ๆ ถึงไม่มีสมุนไพรรักษาก็ไม่อยากเข้าโรงพยาบาลอยู่ดี
“ไม่ได้! ถ้าสมองกระทบกระเทือนจะทำยังไง?”
หลินจื่อเฉียงทำหน้าไม่เห็นด้วย “อย่างน้อยก็ต้องตรวจดูหน่อย”
“อาการของฉัน ฉันรู้ตัวดี ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลินจื่อเวยลูบหางม้าของเธอเบา ๆ แล้วพูดขึ้น “กลับกันเถอะ พี่ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย ตอนนี้หิวมาก”
“ต้องโทษเขาเลย!” วังเสี่ยวฮั่นชี้เย่เฉิงเฟิง คิดจะฟ้องต่อหน้าหลินจื่อเฉียง “ถ้าเขาไม่ได้กินอาหารของพี่สาวคุณ พี่สาวคุณคงไม่เป็นลมเพราะหัวกระแทกนิดหน่อยหรอก”
“เสี่ยวฮั่น! อย่าใส่ร้ายคนดีมั่ว ๆ นะ!”
หลินจื่อเวยพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “ฉันเป็นโลหิตจาง บวกกับทำวิจัยทุกวันจนเหนื่อย ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว”
“เอ่อ”
เย่เฉิงเฟิงได้ยินถึงกับอึ้งตาค้าง คิดในใจว่ามิน่าล่ะทำไมพนักงานส่งอาหารเมื่อตอนเที่ยงถึงได้มีท่าทียืนกรานแบบนั้น ที่แท้อาหารหมายเลข 000 ที่ตนหยิบมาเป็นของหลินจื่อเวย!
ถ้าเป็นอย่างนั้น ที่หลินจื่อเวยเคยถามว่า ลูกชิ้นหัวสิงตุ๋นน้ำแดงอร่อยไหม ก็คงมีความหมายแอบแฝงสินะ?
แล้วยังไข่ดาวที่แถมมาอีก...
ชั่วขณะหนึ่ง กล้ามเนื้อบนหน้าเย่เฉิงเฟิงถึงกับกระตุกไม่หยุดเลย
“พี่ พี่ใช้ชีวิตผ่อนคลายหน่อยไม่ได้เหรอ?”
หลินจื่อเฉียงไม่ได้กล่าวโทษเย่เฉิงเฟิง แค่พูดกับหลินจื่อเวยด้วยความเป็นห่วง “วัน ๆ พี่เอาแต่หมกมุ่นวิจัยเซรุ่มยอดมนุษย์อะไรนั่นจนไม่ได้กินไม่ได้นอน ตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จไม่ใช่เหรอ? ฉันว่านั่นมันวิจัยออกมาไม่ได้หรอก”
“เซรุ่มยอดมนุษย์?”
เย่เฉิงเฟิงอึ้ง ทันใดนั้นก็ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “นั่นมันอะไรเหรอครับ?”
“อ๊ะ! ไม่มีอะไร!”
หลินจื่อเฉียงเผลอพลั้งปากพูดออกไป จึงรีบเฉไฉ “ในเมื่อพี่ไม่อยากเข้าโรงพยาบาล งั้นกลับบริษัทกันเถอะ”
