บทที่ 10 ดริฟต์ในตำนาน
ผ่านไปประมาณห้านาที ตำรวจจราจรก็รีบรุดมาที่เกิดเหตุ
แทบจะในเวลาเดียวกัน มีเลกซัส แอลเอ็กซ์สีขาวมุกคันหนึ่งแล่นมาด้วย
“พี่สาวฉันล่ะ?”
บนรถเลกซัส แอลเอ็กซ์ มีสาวน้อยเสน่ห์เปล่งประกายผู้หนึ่งกระโดดลงมา
เธอหน้าคล้ายหลินจื่อเวยมาก มัดหางม้า ผมสีแดงเพลิง สวมยีนขาสั้นกับเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว บนข้อมือขาวผ่องสวมสร้อยข้อมือลาพิสลาซูลีสีน้ำเงินที่พันรอบข้อมือห้ารอบ
เวลาเดินหางม้าก็แกว่งไปมา เป็นสาวน้อยที่เปี่ยมไปด้วยพลังสดใสวัยเยาว์
แต่ขาเรียวสวยขาวนวลกับหุ่นเผ็ดร้อนหน้าอกหน้าใจอวบอิ่ม ทำให้เธอดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากขึ้น
“จื่อเฉียง! คุณมาพอดีเลย!”
วังเสี่ยวฮั่นเลขาของหลินจื่อเวยรีบบอกกล่าว “รีบมาดูพี่สาวคุณเร็วเข้า เธอยางแตกตอนขับเลี้ยว แล้วชนกับรถแท็กซี่คันหนึ่ง”
“พี่!”
พอหลินจื่อเฉียงมาถึง ก็รีบคว้ามือคู่สวยของหลินจื่อเวยเอาไว้ รู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง
แต่ไม่นานเธอก็เห็นว่าบนหน้าผากหลินจื่อเวยกลับมีกากยาสีดำปิ๊ดปี๋โปะอยู่ จึงปรี๊ดแตกตรงนั้นเลย “ใครเป็นคนห้ามเลือด? เอาของสกปรกนี่มาโปะเดี๋ยวก็อักเสบหรอก!”
“ไม่ต้องห่วง ผมรับรองว่าไม่เป็นไร”
เย่เฉิงเฟิงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“นายเป็นรปภ.?”
หลินจื่อเฉียงมองเครื่องแบบเย่เฉิงเฟิงอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็พูดว่า “นายไม่ใช่หมอสักหน่อย การรับรองของนายไม่มีประโยชน์อะไร”
พูดจบ เธอก็เขี่ยกากยาออกโดยไม่เกรงใจสักนิด อยากจะอุ้มหลินจื่อเวยขึ้นมาแต่อุ้มไม่ไหวเลย
เธอจึงถลึงตาใส่เย่เฉิงเฟิง “รีบช่วยสิ! รีบพาประธานหลินของพวกเธอขึ้นรถฉัน แล้วรีบไปส่งโรงพยาบาล!”
“ก็ได้ครับ”
เย่เฉิงเฟิงยักไหล่ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอนเธอเขี่ยกากยาออก
ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์
สำหรับเย่เฉิงเฟิงแล้ว กากยาที่เหลือจากการหลอมยาเสริมพลังนั้นก็เป็นยาวิเศษรักษาบาดแผลได้
แต่สำหรับหลินจื่อเฉียงกับวังเสี่ยวฮั่นที่ไม่รู้เรื่อง ย่อมเป็นของสกปรกอยู่แล้ว
เขาจึงอุ้มร่างอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกของหลินจื่อเวยขึ้นมาอีกครั้ง แล้ววางพิงเบาะหลังอย่างระมัดระวัง แล้วให้วังเสี่ยวฮั่นนั่งประคองข้าง ๆ
จากนั้นเขาก็ช่วยปิดประตูรถ แล้วยืนอยู่ด้านข้าง
“อึ้งทำไม? ขึ้นรถสิ!”
หลินจื่อเฉียงมองเขาแบบแปลก ๆ “หรือนายจะให้ผู้หญิงบอบบางสองคนอุ้มคนบาดเจ็บที่อุ้มไม่ไหวเหรอ?”
“เอ่อ”
เย่เฉิงเฟิงอ้าปากเหวอ ก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นแล้วนั่งที่เบาะข้างคนขับ
“คาดเข็มขัดนิรภัย! ไม่งั้นชนโดนตรงไหนอย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ!”
หลินจื่อเฉียงเอ่ยตวาดเบา ๆ แล้วเข้าเกียร์เดินหน้าอย่างคล่องแคล่ว ปล่อยเบรกมือแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งออกไป เห็นได้ชัดว่าร้อนใจกับสถานการณ์ของหลินจื่อเวยมาก
แต่สภาพจราจรที่เมืองฮู่นี่ไม่ค่อยดีเลย ขับไปได้นิดเดียวก็เจอสัญญาณไฟ รถก็เยอะอีกต่างหาก
หลินจื่อเฉียงเริ่มแรกขับได้สี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง แต่หลังจากรอสัญญาณไฟไปหนึ่งรอบ ก็ขับด้วยความเร็วยี่สิบไมล์ต่อชั่วโมงมาตลอด อยากขับแซงแต่พื้นที่ไม่เยอะพอ จึงแซงไม่สำเร็จทุกครั้งไป
นี่ทำให้เธอร้อนใจจนเหงื่อซึมฝ่ามือไปหมด
“เร็วเข้า! เร็วเข้า! เร็วเข้าสิ!”
หลินจื่อเฉียงแทบจะกัดฟันกรอด พลางบ่นพึมพำอยู่ตรงนั้น
“อะแฮ่ม ให้ผมขับไหม?”
เย่เฉิงเฟิงเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเธอที่ขาวผ่องงดงาม แต่เผลอเหลือบไปเห็นร่องอกขาวหิมะภายในเสื้อยืดตัวหลวมโดยไม่ได้ตั้งใจ ช่างเย้ายวนสุด ๆ
“นายเนี่ยนะ?”
หลินจื่อเฉียงเบ้ปากอย่างดูแคลน ใบหน้าสวยแสดงท่าทีหยอกเย้า “ขับรถเป็นเหรอ?”
“ก็ถือว่าขับเป็นนะครับ”
เย่เฉิงเฟิงยิ้มใสซื่อดูไร้พิษภัย “เดี๋ยวถ้ามีใบสั่งขับเร็วเกินกำหนดกับฝ่าไฟแดง ไม่เกี่ยวกับผมนะ”
“จริงหรือเปล่าเนี่ย?”
หลินจื่อเฉียงมองเขาด้วยสายตาแคลงใจ แล้วพูดติดตลกว่า “ดูสภาพถนนนี่ ขับฝ่าไฟแดงน่ะฉันเชื่อ แต่ถ้านายขับเร็วเกินกำหนดได้ ฉันยกรถให้นายเลย!”
“เลขาวังเป็นพยานนะ!”
เย่เฉิงเฟิงยิ้มพลางหันกลับไป
“ได้ค่ะ”
วังเสี่ยวฮั่นพยักหน้า ที่จริงแล้วในใจก็คาดหวังนิด ๆ
ฝีมือการต่อสู้ของเย่เฉิงเฟิง เธอเห็นมากับตาแล้ว ไม่รู้ว่าเอามาใช้กับการขับรถจะเป็นอย่างไร
“จอดก่อน เรามาเปลี่ยนที่กัน”
เย่เฉิงเฟิงส่งสัญญาณอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อน ถ้านายขับเร็วเกินกำหนดไม่ได้จะทำยังไง?”
หลินจื่อเฉียงไม่ได้โง่ ยิ้มขึ้นมาทันที “ในเมื่อต้องการของเดิมพัน จะให้ฉันเสนอฝ่ายเดียวไม่ได้หรือเปล่า?”
“คุณว่ามาเลย อยากให้ผมเดิมพันอะไร!”
“ไปล้างรถที่สโมสรฉันหนึ่งเดือน!”
“ตกลง!”
เย่เฉิงเฟิงดีดนิ้วหนึ่งที ตอนหลินจื่อเฉียงจอดรถ ก็เปลี่ยนที่กับเธอพลางพูดไปด้วย “คุณเตรียมตัวโอนกรรมสิทธิ์รถได้เลย”
“ชิ ขับก่อนค่อยว่ากันเถอะน่า”
หลินจื่อเฉียงแค่นเสียง “ฉันขอพูดตรง ๆ ก่อนเลยนะ ห้ามเกิดอุบัติเหตุ ไม่งั้นนายแพ้”
“นี่คือรถคันโปรดของฉัน รอยขีดข่วนนิดเดียวก็ห้ามเกิดขึ้น!”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะลั่น แต่ไม่ลืมหันไปมองหลินจื่อเวยที่ยังอยู่ในอาการหมดสติ แล้วพูดกับวังเสี่ยวฮั่นว่า “ประคองประธานหลินให้ดีนะครับ อย่าให้เธอกระแทกอีกล่ะ”
พูดจบ เย่เฉิงเฟิงก็เร่งความเร็วทันที รถพุ่งทะยานออกไปราวกับธนูหลุดจากคันธนู
อย่างไรก็ตาม รถคันหน้าขับได้เชื่องช้าจริง ๆ และพื้นที่สำหรับขับแซงก็มีไม่พออย่างรุนแรง
หลินจื่อเฉียงจึงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างอดไม่ได้ ในเสียงหัวเราะกังวานดุจระฆังเงินแฝงไปด้วยความสะใจที่ผู้อื่นประสบเคราะห์ร้าย “หมดหนทางแล้วสิ? ในสถานการณ์แบบนี้ นายอย่าหวังว่าจะขับแซงเลย!”
“แซงไม่ได้ แต่ผมขับอ้อมได้นี่!”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะเจ้าเล่ห์ พลันหักเลี้ยว แล้วขับรถไปยังเลนฝั่งตรงข้าม
“โอ้มายก๊อด! นาย นาย นาย...นายกล้าขับย้อนศร!”
หลินจื่อเฉียงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
แม้ว่าเธอจะเห็นนานแล้วว่าเลนย้อนศรตอนนี้ไม่มีรถเลยเนื่องจากติดไฟแดง
แต่ไม่ว่าเธอจะอยากแซงแค่ไหน ก็ไม่มีทางขับรถย้อนศรไปเลนข้าง ๆ หรอกนะ!
นี่จงใจหาจังหวะชนใช่ไหม?
“คาดเข็มขัดให้แน่นนะ!”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะฮ่า ๆ แล้วเหยียบคันเร่งอย่างคลุ้มคลั่ง ไม่กี่วินาทีก็เร่งความเร็วไปจนถึงหนึ่งร้อยไมล์ต่อชั่วโมง
เสียงเครื่องยนต์คำรามราวกับรถสปอร์ต ดึงดูดความสนใจทุกคนอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเลกซัส แอลเอ็กซ์คันนี้เคยถูกหลินจื่อเฉียงดัดแปลงมาแล้ว
“ชิ! แค่ร้อยไมล์ต่อชั่วโมงเอง”
หลินจื่อเฉียงแสดงท่าทีดูถูก “ไม่ถึงสองร้อยไมล์ต่อชั่วโมง ฉันไม่คาดเข็มขัดหรอก!”
“งั้นคุณต้องระวังหน่อยนะ!”
ภายในเวลาสั้น ๆ ประมาณสิบวินาที เลกซัส แอลเอ็กซ์ก็เข้าใกล้สัญญาณไฟจราจร
และในเวลานี้ รถฝั่งตรงข้ามได้ไฟเขียวพอดี จึงขับพุ่งออกมาเต็มแรง
“แย่แล้ว จะชนแล้ว!”
ในใจหลินจื่อเฉียงมีเพียงความคิดนี้
เนื่องจากรถวิ่งเลนสวนข้างหน้าเริ่มขยับแล้ว จึงมีระยะห่างกับเลกซัส แอลเอ็กซ์ใกล้มาก ต่อให้เย่เฉิงเฟิงเหยียบเบรกทันทีก็ไม่ทัน
“นั่งให้มั่นนะ!”
มุมปากเย่เฉิงเฟิงคลี่ยิ้มมั่นใจ จู่ ๆ ก็ดึงเบรกมือขึ้น แล้วหักพวงมาลัยจนสุด
เอี๊ยด~
ท่ามกลางทุกสายตาจับจ้อง เลกซัส แอลเอ็กซ์ใช้ท่วงท่าสง่างามและคล่องแคล่วเคลื่อนตัวกลับไปยังเลนเดิม จากนั้นก็ขับทะยานออกไปโดยทิ้งบรรดารถที่กำลังรอไฟเขียวอย่างเรียบร้อยเอาไว้ด้านหลัง
“ดริฟต์! ดริฟต์ในตำนาน!”
หลินจื่อเฉียงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
