บทที่ 9 ซีอีโอยางรถแตก
“หลินจื่อเวย!”
คราวนี้เย่เฉิงเฟิงไม่กล้าละเลย รีบเปิดประตูเลื่อนอัตโนมัติเร็วจี๋
แต่เนื่องจากประตูเลื่อนอัตโนมัติต้องใช้เวลาสักหน่อยในการเปิดจนสุด ในช่วงเวลาที่ประตูเลื่อนยังเปิดไม่สุด เย่เฉิงเฟิงก็วิ่งไปหาบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หกแล้วยิ้ม “ประธานหลินไม่กินข้าวที่บริษัทเหรอครับ?”
“……”
ประโยคนี้ หลินจื่อเวยไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
เธอคิดในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนายกินของฉันไป ฉันต้องกลับบ้านไปกินไหม?
แต่ประโยคนี้หลินจื่อเวยไม่มีทางพูดมันออกมา แค่เหลือบมองกล่องข้าวในมือเย่เฉิงเฟิง แล้วถามด้วยความสนอกสนใจ “ลูกชิ้นหัวสิงตุ๋นน้ำแดงอร่อยไหม?”
“ยอดไปเลย”
เย่เฉิงเฟิงชูนิ้วโป้ง แล้วเอ่ยชมไม่หยุดปาก “ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าอาหารเดลิเวอรี่เมืองฮู่จะได้เยอะและอร่อยขนาดนี้ แถมไข่ดาวให้อีกต่างหาก!”
“……”
ริมฝีปากแดงเย้ายวนของหลินจื่อเวยกระตุกโดยไม่รู้ตัว ในใจแอบด่าตัวเองว่าปากไวจริง ๆ เลยฉัน
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเย่เฉิงเฟิงเผลอเอาอาหารของเธอไปโดยไม่ได้ตั้งใจล้วน ๆ เธออาจจะคิดว่าเย่เฉิงเฟิงได้ข้าวไปกินแล้วยังแกล้งทำเป็นใสซื่ออีก!
ไข่ดาวฟองนั้นน่ะ เพราะพนักงานส่งอาหารเห็นแก่หน้าฉันชัด ๆ แถมให้นอกเหนือจากที่สั่ง! ไม่ใช่ทุกคนจะได้มันนะ!
หลังจากส่ายหัวเล็กน้อย หลินจื่อเวยเห็นว่าประตูเลื่อนอัตโนมัติเปิดจนสุดแล้ว ก็รีบเหยียบคันเร่งขับออกไป
“เดินทางปลอดภัยนะครับ! ประธานหลิน!”
เย่เฉิงเฟิงย่อมไม่รู้ว่าหลินจื่อเวยคิดอะไร จึงยิ้มพลางโบกมือให้
แต่ไม่ถึงห้าวินาที รอยยิ้มเขาก็แข็งค้าง
“โป๊ะ!”
“เอี๊ยด~”
“ปัง!”
เขาเห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หกของหลินจื่อเวยไม่รู้ไปเหยียบของแหลมอะไรหรือเปล่าตอนที่เลี้ยวโค้ง ทำให้ยางรถแตก!
โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้น บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หกพุ่งชนด้านข้างรถแท็กซี่คันหนึ่งที่แล่นผ่านมาอย่างงดงาม
“ประธานหลิน!”
เย่เฉิงเฟิงรีบพุ่งตัวไปอย่างว่องไว แทบพุ่งเข้าไปหาทันทีที่บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หกจอด
แต่ขณะที่เขายังไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบสถานการณ์ของหลินจื่อเวย คนขับแท็กซี่ที่ถูกชนจนตัวรถบุบนิดหน่อยก็คำรามพร้อมเดินมาหน้ารถบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หก แล้วเตะใส่หน้ารถบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หกอย่างรุนแรงหลายที
“แม่งเอ๊ย ขับรถประสาอะไรวะ! เกือบชนกูตาย!”
“หุบปาก!”
เย่เฉิงเฟิงถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม แล้วจะเปิดประตูรถบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หก
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าคนขับแท็กซี่เป็นคนใจร้อนหรือรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะถูกชน จึงกระโจนเข้าใส่เย่เฉิงเฟิงอย่างดุเดือด
“ไอ้เด็กเวร มันเกี่ยวอะไรกับแก?”
“ไปซะ!”
เย่เฉิงเฟิงยกเท้าขึ้นถีบเบา ๆ คนขับแท็กซี่ก็กระเด็นออกไปตกลงไปในถังขยะริมถนน ทำให้ฝูงชนโดยรอบตกใจจนร้องกรี๊ดเป็นช่วง ๆ
แต่เย่เฉิงเฟิงไม่สนอะไรมากนัก เขารีบเปิดประตูรถบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หก
เห็นเพียงหลินจื่อเวยฟุบอยู่บนพวงมาลัย หน้าผากถูกกระแทกจนแตก เลือดสดไหลออกมา
“แปลกจัง ถึงจะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย แต่ถุงลมนิรภัยไม่ได้ชำรุด ตามหลักการแล้วไม่น่าร้ายแรง ทำไมถึงสลบล่ะ?”
เย่เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว แต่ไม่กล้ารอช้า รีบอุ้มหลินจื่อเวยออกมาจากรถ
ระหว่างที่อุ้มออกมา ก็รู้สึกนุ่มนิ่มเบาสบาย กลิ่นหอมชวนหลงใหล ทำให้เย่เฉิงเฟิงใจสั่นว้าวุ่น
แต่เย่เฉิงเฟิงไม่กล้าคิดลึกไปมากกว่านั้น
เมื่อวานท่านอวิ๋นต้องการให้เขามาคุ้มครองหลินจื่อเวย นี่แค่วันแรกเอง และจากมุมมองของหลินจื่อเวย เขายังไม่นับเป็นบอดี้การ์ดของเธอเลย ถ้าหลินจื่อเวยเป็นอะไรขึ้นมา เขาคงรู้สึกลำบากใจที่จะไปรายงานกับท่านอวิ๋น
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เย่เฉิงเฟิงใช้พลังวิญญาณสายหนึ่งออกไปตรวจสอบ วนเวียนทั่วร่างหลินจื่อเวยอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ยังดีที่แค่ชนเบาๆ! หมดสติเพราะโลหิตจาง”
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่เฉิงเฟิงก็หยิบกากยาที่หลงเหลือจากการหลอมยาเสริมพลังเมื่อวานออกมาจากแหวนเก็บของ แล้วทาเบา ๆ บนแผลหลินจื่อเวย
“ประธานหลิน!”
เวลานี้เลขาของหลินจื่อเวยก็รีบวิ่งมา
“คุณคือ?”
“เลขาของประธานหลิน วังเสี่ยวฮั่นค่ะ!”
“อ้อ เมื่อกี้รถประธานหลินยางแตก แล้วไปชนรถคนอื่น”
เย่เฉิงเฟิงอธิบายสถานการณ์สั้นกระชับ
“แล้วนายยังยืนอึ้งทำไม? รีบพาประธานหลินไปส่งโรงพยาบาลสิ!”
วังเสี่ยวฮั่นรีบควักโทรศัพท์ออกมา แต่กลับพูดด้วยภาษาถิ่นเมืองฮู่ ก็ไม่รู้ว่าแจ้งใคร
“ผมตรวจสอบดูแล้ว แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่มีอะไรน่าห่วง”
เย่เฉิงเฟิงชี้ไปที่หน้าผากหลินจื่อเวย “แค่กระแทกหนังถลอกนิดหน่อย ส่วนที่สลบไปเป็นเพราะประธานหลินโลหิตจาง”
“นายเป็นหมอเหรอ?” วังเสี่ยวฮั่นอ้าปากด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่หมอ แต่ทักษะแพทย์ของผมเยี่ยมเลยแหละ”
เย่เฉิงเฟิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
นี่คือเรื่องจริง!
ก่อนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน เย่เฉิงเฟิงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนต้องเรียนรู้มีมากมายขนาดนี้
แต่ตั้งแต่ที่ได้รับมรดกจากผู้อาวุโสจากดินแดนบำเพ็ญเซียน จนกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว เย่เฉิงเฟิงถึงรู้ว่านอกจากต้องฝึกพลังวิญญาณแล้ว ยังต้องรอบรู้ทุกด้านด้วย อาทิเช่น ศาสตร์แพทย์โบราณ หลอมยาปรุงยา หลอมอาวุธสร้างยันต์ ฮวงจุ้ยและการทำนายดวงชะตา โหราศาสตร์ลี้ลับโบราณ ศาสตร์เวทและวิยายุทธโบราณ เป็นต้น
สิบปีมานี้ ทุกวันเย่เฉิงเฟิงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องพวกนี้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เรียนรู้จนปราดเปรื่อง
แต่เป็นเพราะความทรงจำบำเพ็ญเซียนทั้งหมดของผู้อาวุโสจากดินแดนบำเพ็ญเซียนได้ถ่ายทอดมาให้เย่เฉิงเฟิง ในนั้นรวมถึงพวกวิชาที่เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนพึงมีด้วย
ด้วยเหตุนี้ เย่เฉิงเฟิงต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยในการทำความเข้าใจ
กล่าวโดยไม่เกินจริงเลยว่า บนโลกใบนี้ หากเป็นโรคที่เย่เฉิงเฟิงรักษาไม่ได้ ก็ไม่มีใครรักษาได้อีกแล้ว
“นายขี้โม้!”
วังเสี่ยวฮั่นเบ้ปาก ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัดว่าคนที่มีทักษะต่อสู้เป็นเลิศ วิชาแพทย์ก็ยอดเยี่ยมจะมาเป็นรปภ.
ต้องรู้ว่าเมื่อเช้าที่เย่เฉิงเฟิงเตะคว่ำไปหกคน เธอเห็นชัดกับตา
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงรู้สึกว่าอย่างมากเย่เฉิงเฟิงก็แค่คนลุย ๆ ที่ต่อสู้เป็น วิชาแพทย์ที่ต้องพิถีพิถันเช่นนี้ต้องทำไม่ได้แน่ ๆ
“ก็ได้ โดนคุณจับได้ซะแล้ว”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะเจื่อน ๆ ถึงได้รู้ตัวว่าคำพูดตัวเองมันเกินจริงไปหน่อย
ถึงอย่างไร ใครจะไปเชื่อกันล่ะว่าคนที่ทักษะต่อสู้เป็นเลิศ แถมเชี่ยวชาญวิชาแพทย์จะยอมมาเป็นรปภ.เฝ้าประตู?
ถึงเวลาหลินจื่อเวยไม่สงสัยว่าเขามีเจตนาแอบแฝง ก็คงประหลาดแล้วจริง ๆ
