ไสหัวไปให้พ้น
“ นางได้ชื่อว่าลูกสาวก็แต่ในนามเท่านั้น ข้าหาได้นับญาติกับนางไม่ เหตุเพราะนางเป็นตัวกาลกิณี เป็นต้นเหตุให้ลู่ฟางซินฮูหยินของข้าสิ้นใจในวันที่ให้กำเนิด ฟางซินยังอุตส่าห์ตั้งชื่อให้กับนางก่อนสิ้นใจ แต่ข้าหาได้เห็นควรแก่การเมตตาใด ๆ กับกาลกิณีเช่นนางไม่ แม้ชื่อแซ่ก็มิควรมี ! ”
คำบอกกล่าว สีหน้ารังเกียจรังชังนั้น ฟางเหนียงเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่จำความได้ แต่ก็มิคุ้นชินกับมันเสียที ภายใต้ดวงหน้าอันเรียบเฉย หากนางซ่อนความเจ็บปวดช้ำชอกเอาไว้
บิดาโทษนางเสมอไม่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายอันใดในจวน
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเพราะนาง เพราะนางถือกำเนิดเกิดมาบนโลกใบนี้อย่างนั้นหรือ
ท่านพ่อไม่เคยรัก ไม่เคยเลยแม้สักครั้ง...
“ แม่นาง บอกข้าทีว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ”
เป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้นั้นที่เอ่ยตัดบท ฟางเหนียงผินหน้าไปสบตากับเขา ทว่ากลับต้องรีบหลุบสายตาต่ำมองพื้นโดยพลัน เพราะดวงตาของเขานั้นช่างคมกล้า
มีพลังอำนาจบางอย่างที่ทำให้ครั่นคร้ามหมดเรี่ยวแรง
“ ข้าไปสวดมนต์ไหว้พระที่วัดเป่าซานซือแต่ติดฝน จึงพึ่งจะกลับมาถึงเจ้าค่ะ เส้นทางด้านข้างห้องทำงานของท่านพ่อนี้ทำให้เดินไปถึงห้องนอนข้าได้เร็วขึ้น ข้าเพียงแต่จะเดินกลับห้อง หาได้ตั้งใจมาแอบฟังพวกท่านสนทนากันไม่ ”
“ ยังจะมาเถียงอีก ! ” ผู้เป็นบิดาตวาด นางสะดุ้งเฮือก ทว่าชายหนุ่มรีบขัดไว้
“ ท่านแม่ทัพ ใจเย็นก่อน เอาละ แล้วแม่นางมากับใคร บ่าวประจำตัวล่ะ ได้ยินด้วยหรือเปล่า ” นางส่ายศีรษะช้า ๆ
“ ข้าไม่มีบ่าวประจำตัว ”
“ หืม ” เขาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ขึ้นชื่อได้ว่าจวนแม่ทัพนายกองผู้ยิ่งใหญ่ แถมยังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ แน่นอนว่าต้องมีบ่าวไพร่ล้อมหน้าล้อมหลังนับไม่ถ้วน ผู้เป็นบุตรธิดาหรือก็ต้องมีบ่าวไพร่ประจำตัวคอยติดตามรับใช้
แล้วเหตุใดนางผู้นี้ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวจึงกล่าวว่าไม่มี ?
“ ข้ามาคนเดียวเจ้าค่ะ ” นางเอ่ยย้ำ
เพียงเท่านั้นไทหย่งฉือก็พอจะคาดเดาออกว่าท่านแม่ทัพลู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของสาวงามนางนี้ รังเกียจรังชังนางเอาจริง ๆ
ขนาดกับลูกในไส้ ยังใจดำได้ถึงเพียงนี้ เขาไม่แปลกใจเลยที่แม่ทัพลู่คิดโค่นล้มราชบัลลังก์
“ เอาเป็นว่าข้าขอโทษที่เข้าใจผิดก็แล้วกันแม่นาง ข้าชื่อไท่หย่งฉือ ทำงานให้กับท่านพ่อของเจ้า แล้วแม่นางเล่า ชื่ออะไร ” ชายหนุ่มว่าพลางระบายรอยยิ้มนิด ๆ บนใบหน้า ทำให้สายตาดุ ๆ นั้นดูอ่อนโยนลง ฟางเหนียงก้มหน้าหลบสายตาเขาอีกครั้งก่อนตอบเบา ๆ
“ ข้าชื่อลู่ฟางเหนียงเจ้าค่ะ ”
“ ไม่ต้องใส่แซ่ลู่ของข้าเข้าไป มันเป็นเสนียดแปดเปื้อน ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ” ท่านพ่อของนางตวาดใส่อีกครั้ง
นางเชิดหน้าขึ้น แต่ไท่หย่งฉือเห็นน้ำใส ๆ ไหลปริ่ม ขอบตา
“ ขอโทษเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าจะไม่เอ่ยว่าตนเองแซ่ลู่อีกแม้แต่ครั้งเดียว ”
“ ไสหัวไปให้พ้น ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ! ”
แม่ทัพลู่ตวาด ฟางเหนียงหมุนตัวแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว มันอาจจะเพราะนางกลัวเกรงว่าจะถูกบิดาลงโทษ แต่อีกนัยหนึ่ง หย่งฉือมั่นใจเหลือเกินว่านางอยากจะซ่อนน้ำตาที่มันหลั่งไหลท่วมใบหน้า
น้ำตาแห่งความเจ็บปวด...
“ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยนะหย่งฉือ ที่นางทำเรื่องเสียมารยาท ทำให้เจ้าต้องขุ่นข้องหมองใจ ”
“ มิได้ขอรับท่าน นางมิได้ทำให้ข้าขุ่นข้องใด ๆ ข้าก็แค่ระแวดระวังตามวิสัยโจรเท่านั้น ”
“ นางเกิดมากับอาเพศ นรกส่งมาเกิด สิบแปดปีที่อยู่กับข้ามา ไม่มีวันใดที่ข้าจะลืมวันที่ฮูหยินของข้าสิ้นใจจมกองเลือด หลังจากนั้นไฟก็ไหม้จวนอีก ดีที่บ่าวไพร่ช่วยกันดับไว้ได้ทัน ”
“ นางก็ควรที่จะออกเรือนได้แล้ว มิมีผู้ใดผูกสมัครรักใคร่หรือขอรับ ”
“ ผู้ใดเล่าจะอยากได้ตัวกาลกิณีไปครอบครอง คนทั้งเมืองรู้กันทั้งนั้นว่าพอนางเกิดแม่นางก็ตาย ฆ่าแม่ตั้งแต่แบเบาะ ”