ตอนที่ 2
ในช่วง ฤดูร้อนที่แสนอบอ้าวของปี ที่ทุกปีจะมีอากาศร้อนแต่ปีนี้อากาศร้อนจัดจนทำให้เด็กตัวเล็กๆผื่นขึ้นเต็มตัว หลังจากที่ฉันพาน้องไปหาหมอในตอนนั้นมันก็ผ่านมา 2 ปีที่ต้องเลี้ยงดูเด็กน้อย ส่วนตัวฉันเองเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์มีผู้ติดตามเยอะมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นนักเขียนที่โด่งดังเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีเงินใช้ในแต่ละเดือนมากพอ
"ปี้จ๋า"
"มายมานี้เร็ว"
"จ้า..."
ฉันถือขนมหวานเอามาหลอกล่อน้องชายให้วิ่งเข้ามาหาฉัน ถึงแม้จะ 2 ขวบแล้วแต่เขาก็พูดไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ก็ภาวนาให้เขาพูดชัดเร็วๆเท่านั้น
"งื้ออาร่อย"
ทำหน้าตา ฟินขนาดนี้เลยหรอวันนี้มาเดี๋ยวขึ้นมานั่งตักพี่เร็ว
"ปี้จ๋า กิงๆ"
"อ้ามมม"
"อาร่อยยย"
ฉันเอามือลูบหัวของน้องชายก่อนที่จะประทับริมฝีปากบนหน้าผากเล็ก ที่ดูน่ารักน่าจูบ ของเด็กน้อย แม้ว่า 2 ปีที่ผ่านมาจะลำบากมากในการเลี้ยงดูเด็กน้อย คนนี้แต่ก็ยังโอเคกว่า ที่คิดไว้ซะอีก
"พี่จ๋า..."
"เมื่อกี้ว่ายังไงนะ"
"พี่จ๋า..."
"ตัวเล็กของพี่ เริ่มพูดชัดแล้ว"
น้องชายเรียกตัวเองชัดขึ้นหัวใจดวงน้อยของฉันก็พองโตฉันเป็นคนค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวเพราะว่าต้องทำงานไปด้วยดูแลน้องไปด้วยจึงทำให้ไม่ได้มีโอกาสได้พบปะคนอื่นมากนักแต่ฉันก็พยายามที่จะดูแลน้องให้ดีที่สุดโดยที่ไม่ให้น้องของฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่คนเดียวเด็ดขาด
"มากินขนมต่อเถอะเด็กดี"
"จ้า"
กิจวัตรประจำวันของเราก็ใช้ชีวิตเหมือนปกติ การที่จะดูแลใครสักคนให้เติบโตนั้นยากลำบากจริงๆ แต่อย่างน้อยก็มีบุญที่ได้ทำแบบนี้แล้วก็มีโชคลาภเข้ามาในชีวิตเหมือนกัน
"สวัสดีค่ะ ต้องการพูดสายกับใครคะ"
"สวัสดีค่ะฉันต้องการพูดสายกับดอกไม้ที่คนลืมเลือนเป็นนักเขียนนะคะ"
"กำลังพูดสายค่ะไม่ทราบว่าคุณต้องการที่จะมีธุระอะไรคุยกับฉันหรอคะ"
"ฉันเป็นบรรณาธิการนะคะคือพอดีว่าฉันได้ไปอ่านนิยายของคุณที่เกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวังเป็นนิยายจีนที่คุณแต่งนะคะฉันชื่นชมมากเลยนะคะภาษาสวยมากฉันต้องการติดต่อที่จะทำสัญญาซื้อขายเรื่องนี้ค่ะ"
"ซื้อขายนิยายของฉัน?"
"ใช่ค่ะฉันอยากเซ็นสัญญากับคุณโดยจะให้นิยายเรื่องนี้มาตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ของเราออกเป็นรูปเล่มโปรโมททั้งตัวนักเรียนแล้วก็ตัวของสำนักพิมพ์เราค่ะ"
"ฉันคงจะไม่เหมาะสม"
"นี่เป็นโอกาสอันนี้นะคะลิขสิทธิ์ของคุณก็ยังเป็นของคุณแค่เซ็นสัญญากับเราในช่วงระยะเวลาหนึ่งเรามาคุยสัญญากันดีไหมคะ"
"งั้นก็พรุ่งนี้มาเจอกันก็ได้ค่ะ"
"บ้านของคุณอยู่ที่ไหนคะเดี๋ยวดิฉันจะไปหาที่บ้านเลย"
"คือว่า..."
"รับรองค่ะว่าดิฉันจะไม่เปิดเผยข้อมูลของนักเขียน แต่ฉันก็ไม่ใช่เป็นพวกต้มตุ๋นอะไรเราสามารถตรวจสอบข้อมูลกันได้ค่ะ"
"งั้นก็ได้ค่ะ"
ในช่วงเช้าวันต่อมาคุณบรรณาธิการก็เดินทางขับรถหรูมาจอดที่หน้าบ้านของฉันซึ่งมีผู้ช่วยติดตามมาด้วยเอกสารต่างๆ แม้กระทั่งการโทรไปคุยกับเจ้าของสำนักพิมพ์ ก็ยังมีรายละเอียด ให้กับฉัน โดยทางบริษัทนี้เป็นกองบรรณาธิการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีนิยายโด่งดังมากมายที่เขาปั้นนักเขียนและก็ปั้นนิยายที่โด่งดังซึ่งฉันเองก็กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในนั้น
"สวัสดีค่ะชื่อปูเป้ เป็นบรรณาธิการนะคะและมีผู้ช่วยของฉันน้องเบล"
"สวัสดีค่ะฉันดอกไม้ที่ถูกลืมเลือนค่ะชื่อจริงๆก็แซนค่ะ"
"สวัสดีค่ะคือกองบรรณาธิการของเราต้องการที่จะทำการเซ็นสัญญากับคุณกับนิยายเรื่องนี้นะคะก็คือเรื่องจอมยุทธ์ผู้อาภัพที่คุณเขียนเป็นนิยายที่เราอ่านแล้วรู้สึกปลื้มปริ่มแล้วก็ทำการติดต่อคุณมาโดยตรง ในสัญญาระบุเอาไว้ว่าลิขสิทธิ์จะเป็นของคนเราเพียงแค่ทำสัญญาตีพิมพ์ไม่มีการดัดแปลงใดๆทั้งสิ้นโดยจะมีบรรณาธิการเป็นคนคอยดูแล นิยายของคุณขายได้กี่เล่มเราก็จะให้เปอร์เซ็นต์ของคุณด้วย แม้ว่าจะเป็นการเซ็นสัญญาที่หดตัวแต่เราก็ให้สิทธิการตัดสินใจของคุณ"
"หมายถึงยังไงคะ"
"ความหมายของฉันก็คือเราจะเซ็นสัญญากันและค่าเฉลี่ยของเราคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็ 60กับ40 ของคุณ 40%ในการที่จะได้เงินจากนิยายที่ขายออกไป ส่วนเงินค่าเซ็นสัญญา เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ในการเซ็นสัญญา ทางเราจะให้เงินของคน 50,000 บาทและหลังจากที่ เราตีพิมพ์แล้วยอดขายพุ่งทะลุเป้า 300,000 เล่ม คุณก็จะได้เงินปันผล 40% กับทางเรา"
"นิยายเรื่องนี้ยังไม่จบนะคะ"
"ไม่เป็นไรค่ะขอแค่คุณเขียนนิยายเรื่องนี้จบพวกเรา ก็จะทำการเซ็นสัญญากันโดยทันทีค่ะหรือเราเซ็นสัญญากันเสร็จแล้วเราก็มาคอยช่วยเหลือกันก่อนก็ได้นี่คือเนื้อหาในสัญญาของเราค่ะ"
ฉันนั่งอ่านสัญญาสักพักนึงก็เข้าใจในฉันทีฉันจึงตอบตกลงในการเซ็นสัญญาเข้านิยายของฉัน แล้วตอนนี้ลงไปครึ่งเรื่องแล้วเหลืออีกครึ่งเรื่องที่ยังไม่ได้เขียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจเซ็นสัญญาไปแล้วเมื่อฉันเขียนเสร็จหรือเขียนจบฉันก็จะได้เงิน อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ฉันรักแล้วก็มีเงินเอาไว้ให้น้องชายของฉัน ได้ใช้ในอนาคตแล้ว
หลังจากที่ตกลงคุยสัญญาอะไรกันเสร็จเรียบร้อยฉันจึงพาน้องไปเดินตลาดเพื่อที่จะซื้อของเข้าบ้านฉันไม่วางใจที่จะให้น้องอยู่บ้านคนเดียวจึงพาน้องไปด้วย คุณป้าข้างบ้านก็ไปตลาดเช่นเดียวกันเราจึงไปพบเจอกันที่ตลาด
"แหมไม่เจอกันตั้งหลายเดือนออกมาเปิดหูเปิดตากับเขาบ้างแล้วสินะ"
"ก็มัวแต่ทำงานค่ะแต่ก็ดูแลน้องไม่ได้ออกมาข้างนอกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกอย่างตู้เย็นก็มีก็ซื้อของเข้าไปใส่ตู้เย็นเอาไว้ก็โอเคนะคะไม่ต้องออกมาบ่อยๆ"
"ก็อย่างว่าละนะเป็นเด็กกำพร้าดูแลกันและกันเป็นเรื่องปกติ"
"พวกเราไม่ได้เป็นเด็กกำพร้านะคะเราแค่พ่อแม่เสียชีวิตส่วนชั้นเป็นพี่ก็ยังอยู่กับน้องไม่เรียกว่ากำพร้านะคะ เพราะฉันเองก็เป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนทั้งพ่อทั้งแม่ให้กับน้องได้"
"ยังไงก็ตามเธอก็ยังเป็นเด็กกำพร้าน้องของเธอก็ยิ่งเป็นเด็กกำพร้าไปใหญ่"
"ที่คุณป้าพูดหมายความว่ายังไงคะ"
"ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละชีวิตของเด็กกำพร้าไม่มีใครอบรมสั่งสอนก็เป็นอย่างนี้น่าสงสารจริงๆที่เด็กตัวเล็กๆแค่นี้ต้องมาอยู่กับคนที่ไม่มีอนาคตแบบเธอ"
"หนูขอตัวก่อนนะคะ"
"ทำไมล่ะหดทนฟังไม่ได้หรอก็ฉันพูดความจริงนี่นาเธอเรียนจบแค่ม.6 จะไปสู้อะไรเขาได้ ลูกฉันเข้าเรียนมหาลัยตอนนี้มีแต่คนนับหน้าถือตาฉันทั้งนั้น"
"ที่คุณป้ามาพูดกับหนูก็เพราะว่าอยากอวดลูกสาวหรอคะ คนเราไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือสูงอาจจะสูงกว่าการศึกษานะคะในเมื่อไม่มีอะไรแล้วปวดลูกเสร็จแล้วหนูขอตัวก่อน เพราะหนูยังต้องไปซื้อของให้น้องอีก"
"ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสักวันเถอะแกจะเป็นคนที่ใจแตกเขาไม่มีพ่อแม่สั่งสอนน้องแกก็จะเกเรเหมือนแก"
"ก่อนจะมาว่าหนูไปเช็คสภาพเครื่องล่างของลูกสาวของคุณป้าก่อนนะคะว่ายังอยู่ดีมีสุขอยู่หรือเปล่าไม่ใช่ว่ากลวงโบ๋เหมือนสมองไปแล้วเสียเงินตั้งหลายแสนเพื่อให้ลูกไปเรียนถามจริงๆเถอะค่ะลูกของคุณป้าไปเรียนจริงหรือเปล่าอันนี้ หนูก็พูดตามที่หนูเห็นนะคะเพราะลูกสาวของคุณป้าลงไอจีสตอรี่อยู่บ่อยๆคุณป้าไม่ได้ติดตามลูกสาวหรอคะ"
"แกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง"
"ลูกสาวของคุณป้าใส่ชุดบิกินี่ถ่ายแบบอยู่ทะเลคุณป้าไม่รู้หรอคะนี่ไงคะ"
ฉันผู้เห็นเหตุการณ์และความเคลื่อนไหวของโลกโซเชียลบ่อยๆฉันเองก็เป็นเพื่อนกับลูกสาวของคุณป้าข้างบ้าน ลูกสาวของคุณป้ามีอาชีพเป็นนางแบบถ่ายภาพนู้ดชุดบิกินี่บ้างแล้วแต่โอกาสเพื่อเงิน ซึ่งการกระทำแบบนี้มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรเพราะยังไงก็เป็นอาชีพสุจริตเพราะหาเงินมาด้วยการทำงานเสียแรง ในการทำงานอย่างหนักหน่วงกว่าจะได้แต่ละภาพกว่าจะได้แต่ละซีนก็ลำบากมากเหมือนกันจึงไม่มีใครอยากดูถูกอาชีพนี้ แต่ในเมื่อคุณป้าต้องการที่จะดูถูกฉันฉันก็พร้อมที่จะเปิดโปงเหมือนกัน
เมื่อคุณป้าเห็นรูปไอจีสตอรี่ของลูกสาวตัวเองที่ถ่ายภาพลงก็ถึงกับหัวใจจะวายหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมฉันเองก็เก็บมือถือเข้ากระเป๋าก่อนที่จะถือของอุ้มน้องไปซื้อของตามปกติในเมื่อกล้ามาหาเรื่องฉัน กับน้องชายฉันก็พร้อมที่จะจัดการนัดหน้าคนๆนั้นทันทีเหมือนกัน พวกเราสองคนไม่ใช่เด็กกำพร้าแต่พวกเราเพียงแค่พ่อแม่เสียชีวิตไปเท่านั้นซึ่งหัวหน้าครอบครัวที่เหลืออยู่ก็คือฉันเราจึงไม่ใช่เด็กกำพร้า