บทที่ 7 พบองค์ชายเจ็ดครั้งแรก
“เจ้าเสว่ ทำอย่างไรดีเล่า ? หนวกหูจริง ๆ มีไม่ใครมาช่วยพวกเราขับไล่คนชั่วเสียที” ฉู่หวูโยวเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงสนิทสนม แฝงไปด้วยความเอ็นดูและความไร้เดียงสา ราวกับกำลังหยอกล้ออยู่กับเด็กคนหนึ่ง
น้ำเสียงเช่นนั้นของนาง ทำให้สติของทุกคนหลุดลอยไป จนไม่ได้สนใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง และคิดเพียงว่า นางแค่กำลังหยอกล้ออยู่กับมาสทิฟฟ์ขาวเท่านั้น
แต่ทว่า น้ำเสียงของนางหยุดชะงักลงเล็กน้อย และคำพูดที่ดังขึ้นหลังจากนี้ ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงโดยสมบูรณ์
“เจ้าเสว่ หรือว่า เจ้าไปจัดการเองสิ” ฉู่หวูโยวลูบหัวของมาสทิฟฟ์ขาว น้ำเสียงดูเหมือนกำลังหารือ แต่กลับฟังดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
มาสทิฟฟ์ขาวมีนิสัยกระตือรือร้นเป็นทุนเดิมอยู่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็รีบลุกขึ้นทันที และกระโจนเข้าใส่เฟิงหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว
มาสทิฟฟ์ขาวที่โตเต็มวัยตัวหนึ่ง สามารถเอาชนะเสือดาวหนึ่งตัว หรือแม้กระทั่งหมาป่าสามตัวได้อย่างสบาย ๆ
สีหน้าของเฟิงหลิงหยุนเปลี่ยนไปในทันที คิดจะวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก แต่ความเร็วของเขาจะเทียบกับมาสทิฟฟ์ขาวได้อย่างไร
ฉู่หวูโยวจ้องมองอย่างไม่แยแส เมื่อวาน ในฐานะที่เฟิงหลิงหยุนเป็นหมอหลวง แต่กลับปล่อยให้คนตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วย วันนี้นางขู่ให้เฟิงหลิงหยุนตกใจกลัวเสียหน่อย ก็คงไม่นับว่าทำเกินกว่าเหตุ
ก่อนหน้านี้ เฟิงหลิงหยุนเองก็เคยรังแกร่างเดิมมาไม่น้อย ถือเสียว่านางทำเช่นนี้เพื่อระบายความแค้นให้กับร่างเดิม
มาสทิฟฟ์ขาวเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างยิ่ง แต่สามารถหยุดได้ในทันทีที่ออกคำสั่งให้หยุด
ถึงแม้นางจะเล่นสนุก แต่ก็รู้จักบันยะบันยัง
เพียงแต่ มาสทิฟฟ์ขาวยังไม่ทันจะกระโจนเข้าใส่เฟิงหลิงหยุน จู่ ๆ ไป๋อี้เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าเฟิงหลิงหยุน แล้วปัดมือไปทางมาสทิฟฟ์ขาวในทันที
แววตาทั้งสองข้างของฉู่หวูโยวหมองหม่นลง และรีบตะโกนขึ้นว่า : “เจ้าเสว่ กลับมา”
นางรู้พลังของฝ่ามือนั้นดี นางไม่ต้องการให้เจ้าเสว่ได้รับบาดเจ็บ บางครั้งสุนัขก็ดีกว่าคน แค่เราทำดีกับมันเพียงเล็กน้อย มันก็จะซื่อสัตย์กับเราอย่างที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือวีรบุรุษสุนัขมาสทิฟฟ์ขาว นางทนไม่ได้ที่จะเห็นมันบาดเจ็บแม้แต่น้อย
มาสทิฟฟ์ขาวหยุดการโจมตีในทันที แล้วกลับมาอยู่ข้าง ๆ ฉู่หวูโยวอย่างว่าง่าย
เฟิงหลิงหยุนถอนหายใจยาวออกมา เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อย
ดวงตาทั้งสองข้างของไป๋อี้เฉินกลับเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปยังใบหน้าของฉู่หวูโยว ที่ยังไม่ทันได้เก็บซ่อนความตกตะลึงจากความร้อนใจ นางเป็นห่วงมาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้น มากกว่าเขาจริง ๆ......
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมา
แต่ไป๋อี้เฉินกลับยังไม่หยุด ฝ่ามือนั้นของเขาพุ่งตรงไปยังฉู่หวูโยว
ฉู่หวูโยวนั่งพิงตัวอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงครึ่งหนึ่ง แล้วหันมองไป๋อี้เฉินเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ใบหน้าสง่างาม อารมณ์สงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง......แม้แต้น้อย ร่างกายไม่ขยับ......แม้สักนิด
ไป๋อี้เฉินตกตะลึง จ้องมองไปที่ฉู่หวูโยว ทันใดนั้นเอง แววตาของเขาก็ปรากฏความตกใจออกมา
ตอนนี้ไป๋อี้เฉินรู้สึกตื่นตกใจจริง ๆ การเผชิญหน้ากับเรื่องต่าง ๆ ด้วยความสงบนิ่งเช่นนี้ เขาเคยเห็นจากคนเพียงแค่คนเดียว นั่นก็คือองค์ชายเจ็ด ซวนหยวนหรงโม่ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้นางจะ......
และมุมปากที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของนาง ก็ดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด เหมือนกับภูตสาว แต่ก็เหมื่อนกับปีศาจ เหมือนมีมนต์วิเศษที่หลอกล่อให้คนลุ่มหลง
รู้ทั้งรู้ว่านั่นคือนรกอันน่ากลัว แต่กลับถลำลึกลงไปอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้
ท่าทางการนั่งที่ดูเกียจคร้านของนาง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูดจา แต่กลับดูเหมือนมีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น แผ่รัศมีออกมา
ไป๋อี้เฉินตกตะลึง และรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่าง สั่นสะเทือนเข้าไปถึงจิตใจในทันที
ไป๋อี้เฉินสูดหายใจเข้าเต็มปอด : “ฉู่หวูโยว ข้ารู้ว่าที่เจ้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจจากข้า......”
ฉู่หวูโยวโอบกอดมาสทิฟฟ์ขาวเอาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง และเพลิดเพลินไปกับความนุ่มลื่นที่แสนสบายนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋อี้เฉิน จึงรีบพูดตัดบทเขาทันที : “องค์ชายเฟิงดูจะสำคัญตนเอง......”
เสียงของนางชะงักลงครู่หนึ่ง จิบน้ำชาเบา ๆ จากนั้นจึงพูดเสริมประโยคเมื่อครู่ให้สมบูรณ์” : “มากเกินไปแล้ว”
“แค็ก” ชิงจั๋วเกือบสำลักน้ำลายตัวเองตาย และหันมองนางหญิงของตนเองด้วยแววตาตำหนิเล็กน้อย
คำพูดเช่นนี้ เกือบเอาชีวิตนางเสียแล้ว เพียงแต่ ประโยคที่นายหญิงพูดเสริมขึ้นมา ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจจริง ๆ
สีหน้าของไป๋อี้เฉินเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แก้มปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้น ประเมินจากสายตาก็รู้ว่ากำลังโกรธ
คำพูดนี้ของนาง ฟังแล้วช่างเจ็บปวดยิ่งนัก เพียงแต่ เขากลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คำพูดที่เขาเคยพูดกับฉู่หวูโยวเมื่อก่อน เจ็บปวดกว่านี้เป็นสิบเท่า ร้อยเท่า
ในที่สุด ฉู่หวูโยวก็เงยหน้าขึ้นมองไป๋อี้เฉิน ดวงตาที่ดูเล็กลงเพราะหางตาที่เชิดขึ้นของนาง ตอนนี้กลับปรากฏความเย็นชาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ชายผู้นี้ หน้าตาดูดีทีเดียว ท่าทางสง่างาม ดูภูมิฐานไม่ธรรมดา !
มิน่าเล่า ฉู่หวูโยวคนก่อนจึงหลงใหลเขาเช่นนั้น แต่น่าเสียดาย ที่ถึงแม้เขาไม่รักร่างเดิมก็ช่าง แต่ทำไมยังต้องดูถูกดูแคลนกันเช่นนั้น และถึงขึ้นหมายเอาชีวิตของร่างเดิมได้อย่างเลือดเย็น
“จริงสิ ในเมื่อท่านมาแล้ว ข้าก็จะถือโอกาสบอกให้ท่านทราบเอาไว้ เมื่อท่านพ่อของข้ากลับมาแล้ว ข้าจะให้ท่านพ่อไปทูลขอยกเลิกการแต่งงานกับฝ่าบาท” หากจะยกเลิกการแต่งงาน นางต้องเป็นฝ่ายยกเลิกเอง
ร่างกายของไป๋อี้เฉินแข็งทื่อไปในทันที จู่ ๆ เขาก็รู้สึกจุกอกขึ้นมา และรู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย
ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิงหลิหยุนกลับเบิกโพลงขึ้นมา แล้วจ้องมองฉู่หวูโยวอย่างไม่อยากเชื่อ เขาคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ผู้หญิงคนนี้บอกว่าจะยกเลิกการแต่งงานกับไป๋อี้เฉินอย่างนั้นหรือ ?
ฉู่หวูโยวรักไป๋อี้เฉินออกขนาดนั้น จะยอมยกเลิกการแต่งงานได้อย่างไร ? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด !
ฉู่หวูโยวคิดจะใช้กลยุทธ์แกล้งปล่อยเพื่อจับอย่างแน่นอน เพียงแต่ เมื่อเฟิงหลิงหยุนหันมองไป๋อี้เฉิน แล้วพบกับสีหน้าที่ดูแปลกไปของไป๋อี้เฉิน กลับทำให้เขาต้องรู้สึกตกใจ
ไป๋อี้เฉินคงไม่หลงกลผู้หญิงคนนี้หรอกใช่ไหม ? หากเป็นเช่นนั้น น้องหลันจะทำอย่างไร ?
ฉู่หวูโยวไม่สนใจพวกเขาอีก และพามาสทิฟฟ์ขาวเดินเข้าห้องไปพร้อมกัน
ตอนที่เฟิงหลิงหยุนออกจากจวนพระยา กลับไม่มีความเย่อหยิ่งอย่างเช่นตอนที่มาถึงอีก ส่วนไป๋อี้เฉินนั้น กลับมีทีท่าที่ดูแปลกไป
ตอนที่ทั้งสองคนกลับออกมา ถึงขั้นลืมยาถอนพิษ
“นายหญิง เมื่อครู่ท่านจงใจยั่วโมโหองค์ชายไป๋สินะเจ้าคะ” หลังจากที่พวกเขากลับออกไปแล้ว ชิงจั๋วก็หันมองฉู่หวูโยวด้วยท่าที่หยั่งเชิงดู
“เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างขนาดนั้นเลยหรือ ?” ฉู่หวูโยวกลอกตาใส่นางทันที
จงใจยั่วโมโหไป๋อี้เฉิน ? นางไม่ว่างพอที่จะเสียเวลาไปกับไป๋อี๋เฉิน
“แต่ว่า นายหญิงรักองค์ชายไปขนาดนั้น อยากแต่งงานกับองค์ชายไป๋มาโดยตลอด ทำไม่จู่ ๆ ถึงได้ ?” ถึงแม้ชิงจั๋วจะถูกนายหญิงของตนเองกลอกตาใส่ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ นางสงสัยจริง ๆ และอยากรู้มากจริง ๆ
ฉู่หวูโยวผงะไปเล็กน้อย จะว่าไปแล้ว ความรู้สึกของคนคนหนึ่ง ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้จริง ๆ
ฉู่หวูโยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอธิบายขึ้นเบา ๆ ว่า : “หลังจากการกระทบกระเทือนครั้งนั้น ข้าก็เข้าใจแล้วว่า ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ไม่อาจบังคับกันได้ หากเป็นของข้า ก็ย่อมเป็นของข้า หากไม่ใช่ของข้า ก็ไม่มีทางบีบบังคับเอามาได้”
“สุดท้ายนายหญิงก็เข้าใจเสียที ดีจริง ๆ” ชิงจั๋วรู้สึกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด และรู้สึกปลื้มใจอย่างยิ่ง
ถึงแม้องค์ชายไป๋จะเพียบร้อม เพียบพร้อมถึงขั้นที่หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงต่างต่อสู้แย่งชิง เพื่อให้ได้แต่งงานด้วย
แต่องค์ชายไป๋รังแกนายหญิงขนาดนั้น หากนายหญิงแต่งงานด้วยก็ไม่มีทางมีความสุข
เพียงแต่ ตอนนี้นายหญิงไม่รักองค์ชายไป๋แล้ว แล้วนายหญิงรักใครเล่า ? !