บทที่ 6 ชายชั่วถูกตบหน้า 2
“นางยุ่ง ? ยัยบ๊องอย่างนางจะยุ่งอะไรได้ ? นางวางยาพิษน้องหลันกับน้องหยู ก็เพื่อให้อี้เฉินมาพบนางไม่ใช่หรืออย่างไร ? ตอนนี้อี้เฉินมาถึงแล้ว นางยังจะเสแสร้งอะไรอีก หลีกไปให้พ้น” เฟิงหลิงหยุนไม่สนใจตงเอ๋อร์เลยสักนิด และรีบบุกเข้าไปในทันที
“คุณ คุณหนู ข้าน้อยไม่อาจขวางพวกเขาไว้ได้เจ้าค่ะ” ตงเอ๋อร์ทำได้เพียงเดินเข้ามาหาฉู่หวูโยว แล้วก้มหน้ารายงาน
ฉู่หวูโยวเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ที่ทั้งประณีตและนั่งสบาย มือข้างหนึ่งถือแก้วชาเอาไว้อย่างหลวม ๆ แล้วค่อย ๆ จิบชาทีละนิด ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำลังลูบขนอันเงางามของมาสทิฟฟ์ขาวที่ซบอยู่บนตัวนาง
แววตาทั้งสองข้างของนางลดต่ำลงเล็กน้อย เอาแต่จ้องมองไปยังมาสทิฟฟ์ขาวที่ซบอยู่บนตัวของตนเอง โดยไม่ชายตาขึ้นมามองแม้แต่น้อย
ไป๋อี้เฉินผงะไป เขารู้ว่านางไม่ปัญญาอ่อนอีกต่อไป ขณะที่เดินทางมาก็จินตนาการท่าทางของนางไปต่าง ๆ นานา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จะได้เห็นภาพเช่นนี้......
สายตาของไป๋อี้เฉินจับจ้องไปที่ใบหน้าของฉู่หวูโยว
ถึงแม้ว่าเขาและนางจะหมั้นหมายกันนานแล้ว ถึงแม้ว่านางจะคอยตามติดเขา วนเวียนอยู่รอบตัวเขาทั้งวัน แต่เขากลับไม่เคยมองดูนางอย่างละเอียดมาก่อน
เมื่อมองดูแล้ว ก็ยังคงเป็นใบหน้าของคนสติไม่ดี เป็นใบหน้าของคนอัปลักษณ์
เพียงแต่ใบหน้าที่ยังคงมอมแมม และหางตาที่ยังคงตกอยู่ในตอนนี้ จู่ ๆ กลับไม่รู้สึกว่าอัปลักษณ์ขนาดนั้นอีกต่อไป
สายตาของไป๋อี้เฉินจับจ้องไปยังมาสทิฟฟ์ขาวท่าทีเชื่อง ที่อยู่ในอ้อมแขนของฉู่หวูโยว และรู้สึกตกตะลึงในใจ
มาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้นเป็นเครื่องบรรณาการที่ถูกส่งมาจากทิเบต ซึ่งฝ่าบาททรงพระราชทานให้กับพระยาฉู่ มาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้นซื่อสัตย์กับเจ้าของเป็นอย่างยิ่ง และจะยอมรับเจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้น
ปกติแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มัน ก่อนหน้านี้ ฉู่หวูโยวหวาดกลัวมันอย่างกับอะไรดี แต่ตอนนี้……
ตอนนี้ แม้แต่ไป๋อี้เฉินเอง ยังสงสัยว่าสายตาของตนเองมีปัญหาหรือไม่
เฟิงหลิงหยุนเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ยัยบ๊องไม่ปัญญาอ่อนแล้วจริงหรือ ?
ฉู่หวูโยวยังคงก้มหน้า เพียงแต่ริมฝีปากแดงระเรื่อเริ่มขยับเล็กน้อย น้ำเสียงนุ่มนวลที่ฟังดูเบาบางอย่างยิ่งดังขึ้นมา : “ศาลาในของคุณหนูในจวนเจ้าพระยาเป็นสถานที่ที่จะปล่อยให้ชายผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง บุกรุกเข้ามาได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ ?”
ถึงแม้น้ำเสียงของนางจะเบาบาง แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องตกตะลึง
น้ำเสียงที่เบาบางนั้น กลับดูมีพลังอำนาจจนไม่อาจต้านทานได้
ไป๋อี้เฉินดวงตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง เมื่อได้ยินคำว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แววตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
เฟิงหลิงหยุนตกตะลึงจนสติหลุดลอยไปสักพัก หลังจากตั้งสติกลับมาได้ ก็ตะคอกออกมาด้วยความโมโหทันที : “ฉู่หวูโยว เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว ที่จริงแล้วเจ้าต้องการ......”
ก่อนหน้านี้ ผู้หญิงคนนี้คอยตามตื๊อไป๋อี้เฉินอย่างไร้ยางอาย แล้วตอนนี้จะแสร้งถือตัวไปทำไม
“ไล่ออกไป” น้ำเสียงที่เบาบางของฉู่หวูโยวดังขึ้นอีกครั้ง ตอนที่พูดคำว่า “ไล่” ออกมา ดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับจะสุภาพยิ่งกว่าคำว่าเชิญเสียอีก
ทว่า ฉู่หวูโยวกลับไม่เงยหน้าขึ้นมามองเลยแม้แต่น้อย แม้แต่หางตาก็ไม่เหลือบขึ้นมามองพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
น้ำเสียงที่เบาบางเช่นนี้ของนาง กลับระงับเสียงตะคอกด้วยความโมโหของเฟิงหลิงหยุนได้อย่างสนิท ถึงขั้นทำให้คำพูดของเฟิงหลิงหยุนติดอยู่ในลำคอ
มุมปากของชิงจั๋วกระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไล่ออกไป ?
องค์ชายทั้งสองท่านนี้ไม่ใช่คนธรรมดานะ
ตระกูลไป๋เป็นผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ส่วนตระกูลเฟิงก็อยู่ในอันดับสอง
เฟิงหลิงหยุนเป็นหมอหลวงในวัง ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท
ไป๋อี้เฉินเป็นผู้ชนะในเวทีจอมบุรุษสามโลกาติดต่อกันตั้งแต่อายุสิบสองปี ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ จึงได้รับการขนานนามจากราษฎรทั่วหล้าว่า องค์ชายหมายเลขหนึ่ง
ทรัพย์สินของตระกูลไป๋ที่อยู่ในมือของไป๋อี้เฉิน นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูร ได้ยินว่าเงินของจวนไป๋ มีมากกว่าในท้องพระคลังเสียอีก
แม้กระทั่งรัชทายาทเอง ยังต้องประจบประแจงไป๋อี้เฉิน ส่วนฝ่าบาทก็ทรงชื่นชมไป๋อี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง
องค์ชายทั้งสองท่านคือคนที่นางจะขับไล่ได้หรือ ?
“คุณหนู นี่องค์ชายไป๋นะขอรับ” พ่อบ้านที่ตั้งสติขึ้นมาได้ รีบอธิบายขึ้นทันที พ่อบ้านเองก็แอบงุนงงอยู่ไม่น้อย ปกติแล้วคุณหนูสามมีสติไม่สมประกอบ แต่ทำไมวันนี้กลับพูดจาฉะฉานเช่นนี้
เพียงแต่ ตอนนี้คุณหนูสามขับไล่ได้แม้กระทั่งองค์ชายไป๋ จึงไม่รู้ว่าจะทำเรื่องเสียสติอะไรขึ้นมาอีก
“พ่อบ้าน ท่านอยู่ในจวนเจ้าพระยามานานเท่าไรแล้ว” ฉู่หวูโยวลูบหัวของมาสทิฟฟ์ขาวเบา ๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นมาลอย ๆ หนึ่งประโยค
“ข้าน้อยติดตามพระยามาตั้งแต่อายุยี่สิบปี ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสามสิบห้าปีแล้วขอรับ” พ่อบ้านไม่เข้าใจความหมาย จึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
ฉู่หวูโยวแอบหัวเราะเยาะในใจ อยู่ในจวนมาสามสิบห้าปีแล้ว แต่กลับพาชายสองคนบุกรุงเข้ามาในศาลาในของนางเช่นนี้ ดูเหมือนยุคโบราณจะไม่เสรีขนาดนั้นนะ ?
ฉู่หวูโยวเพิ่งเงยหน้าขึ้นมา แล้วหันมองพ่อบ้าน : “อ้อ ดูเหมือนว่า จะแก่แล้วจริง ๆ” ฉู่หวูโยวดูเหมือนพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่กลับทำให้พ่อบ้านรู้สึกสั่นสะท้าน
“คุณหนู ข้าน้อยสำนึกผิดแล้วขอรับ คุณหนูโปรดละเว้นข้าน้อยสักครั้งเถอะขอรับ” พ่อบ้านรู้สึกตกใจ ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง และคุกเข่าลงกับพื้นในทันที
เขารู้ดีว่า ถึงแม้นางจะเป็นคุณหนูสามของจวนพระยา แต่กลับมีสิทธิ์หยิ่งผยองได้อย่างเต็มที่
ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นที่โปรดปรานของฮองไทเฮา ลำพังฐานะของนางในจวนเจ้าพระยา ก็ยากที่จะมีใครเทียบได้แล้ว
เมิ่งหลิงเอ๋อร์ มารดาของคุณหนูสาม เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของฮองไทเฮา ตอนยังมีชีวิตอยู่เป็นที่โปรดปรานของพระยา แต่เสียชีวิตไปตอนให้กำเนิดคุณหนูสามเนื่องจากคลอดยาก
หลังจากเมิ่งหลิงเอ๋อร์เสียชีวิตลง พระยาก็ล้มป่วยลงจากการโศกเศร้าเสียใจอย่างหนัก หลังจากพระยาหายดีแล้ว ก็เลื่อนตำแหน่งเมิ่งหลิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นภรรยา และฝังศพอย่างเป็นทางการในฐานะฮูหยินเจ้าพระยา
ฮ่องเต้เองก็ทรงมีพระราชโองการลงมา แต่งตั้งให้เมิ่งหลิงเอ๋อร์เป็นฮูหยินขั้น 1
หลังจากเมิ่งหลิงเอ๋อร์เสียชีวิตไปแล้ว พระยาก็รักใคร่เอ็นดูคุณหนูสามเป็นพิเศษ เรียกได้ว่ารักลูกสาวยิ่งกว่าชีวิตก็คงไม่มากเกินไป
ตอนนี้เจ้าพระยายังไม่กลับจากสนามรบ คุณหนูสามเองก็ปัญญาอ่อนมาโดยตลอด ทำให้เขาลืมไปว่า คุณหนูสามต่างหากที่เป็นแก้วตาดวงใจของจวนพระยา
พ่อบ้านรู้ดีว่า แค่คำพูดของคุณหนูสามเพียงประโยคเดียว ก็สามารถทำให้เขากระเด็นออกจากจวนเจ้าพระยาได้
ไป๋อี้เฉินหรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว เขาหันมองฉู่หวูโยวด้วยแววตาซับซ้อน
คำพูดที่ดูคลุมเครือของฉู่หวูโยวเพียงประโยคเดียว กลับทำให้พ่อบ้านตกใจกลัวได้ถึงขั้นนี้
ตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวออกมา นางก็มีทีท่าสงบนิ่งอยู่ตลอด แต่ท่ามกลางความสงบนี้ กลับดูเหมือนควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
นาง ? ถึงแม้จะไม่ปัญญาอ่อนแล้ว ? แต่ไปฝึกความสามารถเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
ในแววตาอันลึกซึ้งของไป๋อี้เฉิน ปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ฉู่หวูโยว เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ?” เฟิงหลิงหยุนไม่สงบนิ่งอย่างไป๋อี้เฉิน เขาตะคอกขึ้นมาอีกครั้งอย่างหมดความอดทน เพียงแต่ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าความเย่อหยิ่งลดลงไปมาก
“เจ้าเสว่” ฉู่หวูโยวไม่ได้สนใจเฟิงหลิงหยุน ยังคงลูบมาสทิฟฟ์ขาวที่อยู่ข้าง ๆ เบา ๆ
เจ้าเสว่คือชื่อที่ฉู่หวูโยวเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ให้มาสทิฟฟ์ขาว นางรู้สึกฟังดูสนิทสนมและเหมาะสมอย่างยิ่ง
มุมปากของชิงจั๋วอดที่จะกระตุกไม่ได้ นางหันมองมาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้น ราวกับต้องการยืนยันว่า ที่นายหญิงเรียกคือมาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้นใช่หรือไม่
ถึงแม้เฟิงหลิงหยุนจะโมโห แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกเจ้าเสว่ของนาง กลับผงะไป
มาสทิฟฟ์ขาวตัวนั้น ตัวโตกว่านาง และหนักกว่านางเป็นไหน ๆ แต่นางกลับเรียกมันว่าเจ้าเสว่
มุมปากของไป๋อี้เฉินเองก็ขยับโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
ไป๋อี้เฉินจ้องมองฉู่หวูโยวด้วยแววตาที่ดูซับซ้อนยิ่งขึ้น
ในสายตาของนางตอนนี้ หรือว่าเขาจะเทียบกับสุนัขตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ? หรือว่านางคิดจะใช้กลยุทธ์แกล้งปล่อยเพื่อจับกับเขา ?
หากนางคิดจะใช้กลยุทธ์แกล้งปล่อยเพื่อจับกับเขาจริง เขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่า นางทำสำเร็จแล้ว ! !
นางไม่ปัญญาอ่อนแล้วจริง ๆ ซ้ำยังรู้จักวางแผนอีกด้วย !