บทที่ 8 พบองค์ชายเจ็ดครั้งแรก ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง
“เรื่องของนายหญิง ข้าน้อยกราบทูลให้ฮองไปเฮาทรงทราบแล้ว ในเมื่อสุขภาพของนายหญิงเป็นปกติแล้ว พรุ่งนี้เข้าไปถวายพระพรฮองเฮาในวังดีไหมเพคะ” ชิงจั๋วรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรจะให้นายหญิงคนปัจจุบันเข้าเฝ้าไทเฮา
“ได้” ฉู่หวูโยวรับปากเบา ๆ
ในความทรงจำของร่างเดิม ฮองไทเฮาทรงเอ็นดูร่างเดิมอย่างยิ่ง ถึงแม้ร่างเดิมจะสติไม่ดี มักก่อปัญหาบ่อยครั้ง แต่ฮองไทเฮาก็ยังคงเอ็นดูนาง
ตอนนี้ฮองไทเฮาทรงเรียกนางเข้าวัง นางย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงทำได้เพียงเผชิญหน้าเท่านั้น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ชิงจั๋วพาฉู่หวูโยวเข้าวัง และตรงไปยังตำหนักโซว่กง(ที่ประทับบั้นปลายชีวิตจักรพรรดิ)ของฮองไทเฮาในทันที
“นังหนูหวูโยว มานี่เร็วเข้า ให้ย่าดูหน่อยซิ” ทันทีที่เข้าไปในห้อง ฮองไทเฮาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดด้วยสีหน้าเอ็นดู
ถึงแม้ฮองไทเฮาจะทรงมีพระชันษา 60 ปีแล้ว แต่ก็ดูแลตนเองเป็นอย่างดี ทำให้สุขภาพแข็งแรงอย่างยิ่ง
“เสด็จย่า” ฉู่หวูโยวอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของนาง จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา เป็นเพราะอารมณ์ของร่างเดิม และอาจมีอารมณ์ของนางรวมอยู่ด้วย
ในยุคปัจจุบันนางเป็นเด็กกำพร้า เติบโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ความอบอุ่นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่นางวาดหวังในใจมาตลอด
“หายดีแล้วจริงหรือ ?” ร่างกายของฮองไทเฮาหยุดนิ่ง น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยด้วยความไม่มั่นใจ
“หายดีแล้วจริง ๆ เพคะ” ฉู่หวูโยวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วยิ้มออกมาจาง ๆ รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยการปลอบประโลม และมีความตื้นตันปะปนอยู่ด้วย
ตื้นตันแทนร่างเดิม
หลายปีมานี้ หากไม่ได้ฮองไทเฮาคอยปกป้อง คุณหนูที่สติไม่ดีก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องถูกรังแกถึงขนาดไหน
“หายดีแล้วจริง ๆ นังหนูหวูโยวของข้าหายดีแล้วจริง ๆ” ฮองเฮาทรงตื่นเต้นอย่างเห้นได้ชัด และทรงตรัสคำพูดนี้ซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง
เพียงแต่ ในมุมที่ฉู่หวูโยวมองไม่เห็น พระเนตรทั้งสองของข้างของฮองไทเฮาทรงหม่นหมองลง ความทุกข์ที่นังหนูหวูโยวได้รับมาตลอดหลายปี ทำไมนางจะไม่รู้
ที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ก็เพื่อปกป้องนังหนูหวูโยว
อย่างไรเสีย หากนางยิ่งสนใจนังหนูหวูโยว ก็จะยิ่งมีคนริษยามากขึ้น และคงเกิดภัยบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ตอนนี้นังหนูหวูโยวหายจากอาการป่วยแล้ว บางที ตอนนี้อาจถึงเวลาที่จะสะสางทุกอย่างแล้ว
“รอยแผลบนร่างกายไม่เป็นไรมากใช่ไหม ?” ฮองเฮาผลักฉู่หวูโยวออกเล็กน้อย เพื่อที่จะตรวจสอบฉู่หวูโยวดู
เรื่องที่ฉู่หวูโยวถูกไป๋อี้เฉินทำร้ายจนบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาทรงทราบเรื่องแล้ว
ฉู่หวูโยวหัวเราะเบา ๆ : “ไม่เป็นไรแล้วเพคะ เสด็จย่าไม่ต้องกังวลพระทัยนะเพคะ”
“อืม โตแล้ว รู้ประสีประสาแล้ว” บนพระพักตร์ของฮองเฮา ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ของความภาคภูมิใจขึ้นมา นังหนูหวูโยวในตอนนี้ ทำให้นางรู้สึกเบาใจขึ้นมาก
ฮองเฮาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทรงตรัสขึ้นเบา ๆ อีกครั้ง : “อีกไม่กี่วัน พ่อของเจ้าก็คงเดินทางกลับมาแล้ว อีกยี่สิบวัน ก็จะเป็นวันเกิดครบรอบหาสิบปีของพ่อเจ้า และเป็นวันเกิดของเจ้าด้วยเช่นกัน ถึงตอนนั้น เหล่าขุนนางในราชสำนักคงต้องเดินทางไปอวยพร ฝ่าบาทเองก็คงเสด็จไปด้วยเช่นกัน ย่าจึงเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้เจ้าหนึ่งชุด คาดว่าคงส่งมาถึงภายในสองวันนี้ ถึงตอนนั้น จะต้องแต่งตัวนังหวูโยวให้งดงามแน่นอน”
ฉู่หวูโยวกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อกล่าวถึงพ่อคนนั้นของนาง นับได้ว่าน่าเกรงขามจริง ๆ ใครจะไปคิดว่า พระยาฉู่จะเป็นถึงเทพสงครามของราชวงศ์ซวนหยวน คอยป้องกันดินแดนและขยายอาณาเขต การศึกเป็นเลิศ ไม่มีใครที่ไม่ยอมสิโรราบ ไม่มีใครที่ไม่เคารพนับถือ และไม่มีใครที่ไม่เกรงกลัว !
ในตอนนั้นที่พระยาฉู่ออกศึกพร้อมกับฮ่องเต้ ก็ได้ช่วยชีวิตของฮ่องเต้เอาไว้หนึ่งครั้ง
ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นเจ้าพระยาติ้งกั๋ว เป็นรองเพียงแค่ฮ่องเต้ และอยู่เหนือคนใต้หล้า
ฉู่หวูโยวกำลังขบคิดอยู่ จนลืมกล่าวขอบพระทัยฮองไทเฮา
เมื่อเห็นฉู่หวูโยวนิ่งเงียบ ฮองไทเฮาจึงทรงเข้าใจความหมายของนางผิดไป
ฮองไทเฮาทรงแอบถอนหายใจ จากนั้นจึงตรัสขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจนใจ : “ย่าเข้าใจความคิดของเจ้าดี ไป๋อี้เฉินผู้นั้นเองก็นับว่าเป็นผู้ชายที่ดีที่หาได้ยากในใต้หล้า ถึงตอนนั้น ก็ถือโอกาสในงานฉลองวันเกิด กำหนดเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
นังหนูคนนี้ มอบหัวใจทั้งดวงให้กับไป๋อี้เฉิน เพียงแต่ไป๋อี้เฉินกลับปฏิบัติต่อนาง......
แต่อย่างไรเสีย ตัวนังหนูหวูโยวเองก็รัก
เป็นเพราะก่อนหน้านี้นังหนูหวูโยวปัญญาอ่อน นางเองจึงไม่อยากรบเร้า ด้วยเกรงว่านังหนูหวูโยวแต่งงานไปแล้วจะถูกรังแก
ในเมื่อตอนนี้นังหนูหวูโยวหายดีแล้ว เรื่องนี้ก็คงกำหนดให้เรียบร้อยได้เสียที
ฉู่หวูโยวตกตะลึงไป คิดม่ถึงว่าจู่ ๆ ฮองไทเฮาจะทรงตรัสถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงลุกขึ้นยืนตัวตรงและกล่าวอย่างจริงจัง : “หวูโยวอยากทูลขอฮองไทเฮา ให้ทรงช่วยยกเลิกงานแต่งงานให้หวูโยวเพคะ”
สีหน้าของฉู่หวูโยวในสตอนนี้ ทั้งจริงจังและเคร่งขรึม แม้กระทั่งสรรพนามที่ใช้เรียกฮองไทเฮาก็เปลี่ยนไป ดูไม่เหมือนว่านางกำลังล้อเล่นเลยสักนิด
ฮองไทเฮาทรงผงะไป และแสดงสีหน้าของความประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด : “เจ้าชอบเขามาตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือ ? ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากยกเลิกการแต่งงานเล่า ?”
ฉู่หวูโยวตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำและจริงจังอีกครั้ง : “หวูโยวเข้าใจทุกอย่างดีแล้วเพคะ ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่อาจบังคับกันได้ ในเมื่อองค์ชายไป๋ไม่มีหม่อมฉันอยู่ในใจ แล้วทำไมหม่อมฉันจะต้องบังคับฝืนใจด้วยเล่าเพคะ”
แววพระเนตรของฮองไทเฮาเป็นประกายเล็กน้อย แต่บนพระพักตร์กลับปรากฏความเศร้าหมอง หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็ทรงถอนหายใจออกมาเบา ๆ : “เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่ นี่เป็นงานแต่งพระราชทานจากฮ่องเต้ ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ”
หากยกเลิกได้ ไป๋อี้เฉินคงยกเลิกไปนานแล้ว ในเมื่อไป๋อี้เฉินยกเลิกไม่สำเร็จ หวูโยวเองก็ย่อมยกเลิกไม่สำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงพระราชอำนาจของฮ่องเต้
ฉู่หวูโยวสับสนเล็กน้อย ? หมายความว่า นางไม่อาจยกเลิกงงานแต่งนี้ได้อย่างนั้นหรือ ?
หรือว่านางต้องแต่งงานกับไป๋อี้เฉินจริง ๆ ?
ไม่ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องยกเลิกงานแต่งนี้ให้ได้
ตอนนี้เอง มีเสียงเท้าดังมาจากด้านนอก
“องค์ชายเจ็ด อ๋องแปด อ๋องสิบเสด็จ” เสียงแหลมของขันทีดังตามหลังขึ้นมา
ชายหนุ่มสามคนเดินเข้ามา และทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง : “ถวายพระพรเสด็จย่า”
“ดี ลุกขึ้นเถิด นั่งลงสิ” ฮองไทเฮาทรงแสดงสีหน้าเอ็นดู แววพระเนตรแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
“หวูโยวถวายพระพรองค์ชายเจ็ด อ๋องแปด อ๋องสิบเพคะ” หลายวันมานี้ ฉู่หวูโยวศึกษาเรื่องมารยาทมาไม่น้อย จึงถวายพระพรองค์ชายทั้งสามตามธรรมเนียม
ตอนที่ฉู่หวูโยวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็บังเอิญสบตาเข้ากับดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นี้เหมือนกับดวงดาวที่สุกสว่าง เหมือนกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สว่างไสว คนที่แต่ไหนแต่ไรมีคารมคมคาย และมีคำศัพท์อยู่ในสมองอย่างล้นหลามเช่นนาง บัดนี้กลับหลงเหลืออยู่เพียงคำเดียว——หนึ่งเดียวในใต้หล้า
มีเพียงคำว่าหนึ่งเดียวในใต้หล้าเท่านั้น ที่จะอธิบายถึงชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้
ฉู่หวูโยวพยายามดึงสติที่เกือบเตลิดไปของนางกลับมา และหันไปยิ้มให้กับเขา
เขาตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหลบสายตาด้วยสีหน้าที่ปราศจากอารมณ์
ขนตายาวของเขางอนขึ้นเล็กน้อย และเบี่ยงเบนสายตาในทันที เก็บซ่อนความเยือกเย็นที่อยู่ลึกจนยากจะคาดเดา และยากจะหยั่งถึงเอาไว้ หลงเหลือไว้เพียงความงดงามที่ทำให้โลกต้องลุ่มหลง
ฉู่หวูโยวกะพริบตาปริบ ๆ นี่นางล่วงเกินชายรูปงาม......แค็ก ล่วงเกินองค์ชายเจ็ดเข้าแล้วหรือนี่ ?
ฉู่หวูโยวรู้ดีวา นี่คือองค์ชายเจ็ด ซวนหยวนหรงโม่ คนที่ราชวงศ์หยวนทุกคนต่างชื่นชมและเคารพยำเกรง
และฉู่หวูโยวก็ยังรู้อีกว่า องค์ชายเจ็ดผู้นี้ คือคนที่อยู่ในใจของฉู่หรูเสว่ !
สมคำร่ำลือจริง ๆ ! ! !
ซวนหยวนฝานหันมองฉู่หวูโยวเหมือนกำลังมองดูสิ่งประหลาด : “เอ๊ะ ยัย......”
เมื่อฉุกคิดได้ว่าฮองเฮาทรงอยู่ที่นี่ด้วย ยังไม่ทันพูดคำว่ายัยบ๊องออกมา ก็รีบกลับคำเสียก่อน : “ไม่ปัญญาอ่อนแล้วจริง ๆ ด้วยหรือนี่ ? ! หายดีแล้วจริงหรือ ?”
จู่ ๆ ก็ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจในทันที : “ถ้าเช่นนั้น เรื่องที่เมื่อวานเจ้าปล่อยสุนัขให้ไล่ไป๋อี้เฉินออกมา คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกใช่ไหม ?”