บทที่ 19 ความจริงเป็นที่ประจักษ์
นางได้ให้โอกาสพวกเขาไปแล้ว ต่อไปก็จะมาโทษนางไม่ได้แล้ว
ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของฉู่หวูโยว ทุกคนต่างก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเผชิญการซักถามด้วยเสียงโมโหของเฟิงหลิงหยุนเช่นนั้นแล้ว เหตุใดนางยังสามารถหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ได้เช่นนี้อีก
“วัสดุมีดเล่มนี้หาได้ยากยิ่งอย่างไม่อาจหาเทียบได้ ฝีมือเช่นนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นฝีมืออันประณีตเหนือธรรมชาติ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นฝีมือของตระกูลที่เลื่องชื่อแน่” เสียงที่ราบเรียบนั้นของฉู่หวูโยวเปล่งออกมาอีกครั้ง
มีดเล่มนี้ นาทีที่ฉู่หวูโยวกุมเอาไว้ในมือก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือมาจากตระกูลใด เพราะว่าหลายวันก่อนตอนที่นางเดินดูของที่ถนนได้เห็นมีดเล่มนี้เข้า
ตอนนั้นนางแค่กำลังตะลึงอึ้งอยู่กับความแหลมคมและความประณีตของมัน คิดไม่ถึงว่าจะสามารถเทียบได้กับมีดผ่าตัดที่นางใช้อยู่ในยุคปัจจุบันได้
ตอนนั้นนางคิดอยากจะซื้อเอาไว้ เพียงแต่ราคาสูงจริงๆ จนทำให้ตกใจ นางไม่ได้มีเงินมากมายเช่นนั้น
อีกอย่างตอนนั้นเถ้าแก่ร้านบอกว่า มีดเล่มนี้ใช้เหล็กอุกกาบาตที่หายากมานับพันปีก้อนหนึ่งหล่อขึ้นมา สูงค่ามาก มีทั้งหมดเพียง 2 เล่มเท่านั้น
“ข้าทราบดี มีดเล่มนี้ทำออกมาจากตระกูลขุนนางที่ขึ้นชื่ออาวุธทางทหารที่สุดในราชธานี ตระกลูหลี่นั่นเอง ข้าและหลี่อู้มีการไปมาหาสู่กันบ้าง หลายวันก่อนเขาเคยให้ข้าดู เขาบอกว่ามีดเล่มนนี้ทั้งหมดมีเพียงสองเล่มเท่านั้น หาได้ยากยิ่งมาก” ช่างเป็นคนที่รู้จักของสิ่งนี้จริงๆ
ฉู่หวูโยวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา การตอบของคนผู้นี้ช่างตอบได้พอเหมาะพอดีจริงๆ
ฉู่หวูโยวหันไปทางฝ่าบาท วาจาเปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม: “ฝ่าบาท หวูโยวขอพระองค์ทรงเรียกตัวหลี่อู้มาไต่ถามเพคะ”
“ได้” ฝ่าบาทไม่ได้ลังเลแม้แต่นิด ตอบรับคำได้เร็วมาก
“ยังไม่รีบให้คนไปตามองค์ชายหลี่มาอีก จะมาให้หวูโยวได้รับความไม่เป็นธรรมได้อย่างไรกัน” ฉู่หรูเสว่สั่งการคนที่อยู่ข้างกายต่อเนื่อง
ท่าทางร้อนใจเป็นกังวลแทนฉู่หวูโยว
“รอประเดี๋ยวก่อน” ฉู่หวูโยวจู่ๆ ก็ออกเสียงกล่าวขึ้น: “ข้าและเฟิงหยูหลันต่างเป็นคนในเหตุการณ์ ดังนั้นคนของตระกูลฉู่และตระกูลเฟิง ควรจะต้องถอยมาหลังฉาก อย่าออกหน้าออกตาเป็นดีที่สุด”
จะเป็นไปได้ยังไงที่นางจะโง่เขลาโดยที่ให้คนของฉู่หรูเสว่ไป
เหตุการณ์ในวันนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่หรูเสว่ก็มีส่วนด้วย กลัวแต่เพียงว่าฉู่หรูเสว่ยังจะเป็นต้นคิดด้วยซ้ำ
ฉู่หวูโยวมองไปยังองครักษ์ที่อยู่ข้างกายของฝ่าบาท หากเป็นคนที่อยู่ข้างกายของฝ่าบาทไปจะเป็นการดีที่สุด เพียงแต่คนพวกนั้นต่างเป็นคนที่อารักขาปกป้องความปลอดภัยของฝ่าบาท......
“ซู่เฟิง” แต่ในตอนนี้กลับมีเสียงที่เย็นชาสุดๆ ดังขึ้นมาในบัดดล
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ซู่เฟิงติดตามอยู่ข้างกายของนายท่านมาหลายปี ความคิดความอ่านของนายท่าน เขาย่อมสามารถตระหนักได้ในทันทีทันใดอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะแปลกใจว่าเหตุใดฝ่าบาทจู่ๆ สนใจเรื่องแบบนี้ขึ้นมา แต่ว่าซู่เฟิงกลับไม่ได้มีอาการลังเลแม้แต่น้อย รับคำอย่างนอบน้อม หลังจากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนที่อยู่ด้านในโถงใหญ่ต่างมองไปยังองค์ชายเจ็ดที่จู่ๆ ก็เปล่งเสียงออกมาเมื่อครู่ แม้ว่าองค์ชายเจ็ดมีสีหน้าท่าทางที่ปกติธรรมดา ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
แต่ว่าเมื่อครู่องค์ชายเจ็ดเอ่ยปากพูดขึ้นมาทำให้ทุกคนต่างพากันตกตะลึงไป
คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดจะ?
ตามนิสัยขององค์ชายเจ็ด ปกติแล้วแม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่สนใจอย่างเด็ดขาด วันนี้คิดไม่ถึงว่าจะสนใจเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้?
ทำไม?
ใบหน้าที่เลอโฉมนั้นของฉู่หรูเสว่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าไปชั่วขณะ......
ฉู่หยุนเทียนก็อึ้งไปเช่นกัน นี่องค์ชายเจ็ดกำลังช่วยหวูโยวงั้นหรือ?
เหตุใดองค์ชายเจ็ดจะต้องช่วยหวูโยวด้วย?
ปลายคิ้วของฝ่าบาทก็เลิกขึ้นตามสัญชาตญาณครู่หนึ่ง เจ้าเด็กคนนี้ปกติแล้วแม้แต่คำพูดของเขาก็ขี้เกียจจะฟัง เรื่องที่เขาสั่งการก็ยังไม่เห็นว่าจำเป็นต้องไปทำเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จู่ๆ จะกระตือรือร้นเช่นนี้ได้
น่าสนใจขึ้นมาแล้ว!
ฉู่หวูโยวก็คาดไม่ถึงอยู่บ้าง องค์ชายเจ็ดนั้นแค่มองก็รู้ว่ามีนิสัยเย็นชาที่ปฏิเสธคนมาตั้งแต่ไกลๆ อยู่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
ก่อนหน้านี้นางยังดูเผินๆ ว่ายังยั่วโมโหเขาเข้าให้อีก ที่จริงนางก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยนาง
ไม่พูดไม่ได้ว่าในตอนนี้การออกหน้าของเขาอันที่จริงแล้วก็แก้ไขประเด็นยากของนางเลย
องค์ชายเจ็ดออกหน้า มีอำนาจที่เด็ดขาดแน่นอน ไม่อาจเกิดความเคลือบแคลงแม้แต่นิดจากใครก็ตามแน่
ฉู่หวูโยวมองไปยังซวนหยวนหรงโม่ แต่ว่าซวนหยวนหรงโม่กลับไม่ได้มองมาทางนางด้านนี้เลย
ทำจนแม้แต่สายตาที่ซาบซึ้งของนาง......สีหน้าท่าทางยังไม่มีทางละได้เลย
มือที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อของไป๋อี้เฉินก็ค่อยๆ กำแน่นขึ้นมา สำหรับการลงมือช่วยเหลือฉู่หวูโยวจากองค์ชายเจ็ดนั้น เขาก็คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก และก็ยังโมโหไม่น้อยเลย
ฉู่หวูโยวเป็นคนของเขา จะต้องไปให้ผู้ชายคนอื่นช่วยได้ยังไงกัน?
เฟิงหลิงหยุนโอบมือของเฟิงหยูหลันไว้แน่น เขาแอบภาวนาอยู่ในใจอยู่ มีดเล่มนั้นอย่าเป็นน้องหลันที่ไปซื้อเด็ดขาด มิเช่นนั้นวันนี้เกรงว่าน้องหลันจะ......
ได้เพียงรู้สึกถึงร่างที่นิ่งงันและสั่นเทาเล็กน้อยนั้นของเฟิงหยูหลัน เฟิงหลิงหยุนทราบเลยว่าเกรงว่าความคาดหวังเส้นบางๆ สุดท้ายของตนก็คงต้องมลายหายไป
จะไม่ให้กลัดกลุ้มไม่ได้ ผู้ใต้บัญชาขององค์ชายเจ็ดมีประสิทธิภาพในการทำธุระได้ไวมากจริงๆ
เพียงแค่เวลาไม่นานก็นำตัวคนมาแล้ว
หลี่อู้เข้ามาในโถงใหญ่ เมื่อเห็นฉากที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวอยู่บ้าง เพียงแต่เขาก็นับว่าเป็นคนที่เคยเปิดหูเปิดตามาแล้วเช่นกัน ไม่นานก็นิ่งลงมา แล้วเดินตามซู่เฟิงไปยังเบื้องหน้าของฝ่าบาท
“ข้าน้อยหลี่อู้ขอคารวะฝ่าบาท” หลี่อู้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“เจ้าจำมีดเล่มนี้ได้หรือไม่” ฝ่าบาทให้คนหยิบมีดที่ประณีตเล่มนั้นไปยังด้านหน้าของหลี่อู้
ปลายคิ้วของหลี่อู้ขมวดขึ้น เห็นได้ชัดมากว่าประหลาดใจอยู่บ้าง มองไปยังเฟิงหยูหลันที่ถูกเฟิงหลิงหยุนโอบอยู่ในอ้อมอกครู่หนึ่งตามสัญชาตญาณ เขาเป็นคนฉลาดก็สามารถเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างคลุมเครือได้
“เรียนฝ่าบาท มีดเล่มนี้เป็นท่านพ่อเป็นคนหล่อออกมา ยี่สิบกว่าปีก่อน ท่านพ่อโชคดีได้เหล็กอุกกาบาตมาชิ้นหนึ่ง ใช้เวลาหล่อมีดสองเล่มเช่นนี้มานานถึง 20 ปี” หลี่อู้หลบสายตาและกล่าวตอบอย่างช้าๆ
“จะว่าไปมีดเล่มนี้ก็ออกมาจากร้านของตระกูลเจ้าจริงๆ แล้วจำได้หรือไม่ว่ามีดเล่มนี้ได้ขายให้แก่ใครบ้าง?” เสียงของฝ่าบาทไม่ดัง แต่ว่ากลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่มีมาแต่เดิมแล้ว ทนไม่ได้ที่จะให้ใครก็ตามมาพูดคำโกหกแม้แต่นิดต่อหน้าของเขา
“5 วันก่อน คุณหนูเฟิงซื้อไป 1 เล่ม ยังมีอีก 1 เล่มที่ยังคงอยู่ในร้านของข้าน้อย” ร่างของหลี่อู้นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวตอบออกมาเบาๆ
แม้ว่าคาดเดาได้ว่าคุณหนูเฟิงเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะมีดเล่มนี้ก่อเรื่องอะไรขึ้นมา แต่ว่าเขาอยู่ต่อหน้าฝ่าบาท ก็เลยกลายเป็นว่าไม่กล้าปกปิดอย่างเด็ดขาด
พอคำพูดของเขากล่าวออกไป ในโถงใหญ่จู่ๆ ก็เกิดโกลาหลขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของทุกคนต่างมองไปยังเฟิงหยูหลันตามๆ กัน
ความจริงนี้ก็ได้ปรากฏออกมาแล้ว ที่แท้คุณหนูเฟิงก็กรีดใบหน้าของตนเองให้บาดเจ็บเพื่อมาใส่ร้ายคุณหนูฉู่จริงๆ
“เขาพูดโกหก เขาพูดโกหก” ร่างที่นิ่งไปนั่นของเฟิงหยูหลันสั่นเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้ นางในตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากลัวมาก แต่กลับยังคงอยากจะดิ้นรนครั้งสุดท้ายอยู่อีก
ไม่ใช่แบบนี้สิ ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้ไม่ได้!
เพียงแต่ในเสียงนั้นของนางกลับเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังมาก
บนใบหน้าของหลี่อู้เปี่ยมไปด้วยความโมโหหลายเท่า คุณหนูเฟิงผู้นี้ทำไมถึงได้ใส่ร้ายเขาหลอกลวงฝ่าบาทได้ นั่นนี่โทษตายเชียวนะ กล่าวออกมาอย่างร้อนรนว่า: “ที่ข้าน้อยพูดเป็นความจริงทุกประการ ขอให้ฝ่าบาทสืบหาความจริงอย่างกระจ่างด้วย”
ดวงตาของฝ่าบาทหนักใจไปเล็กน้อย มองไปยังเฟิงหยูหลันอย่างเย็นชา
มาถึงตอนนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าเฟิงหยูหลันยังกล้าปกปิดอีก ยังกล้าหลอกลวง?
ร่างของเฟิงหลิงหยุนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย เขาโอบเฟิงหยูหลันเอาไว้แน่น แสดงให้เห็นเจตนาว่าเฟิงหยูหลันอย่างตะโกนส่งเดชเด็ดขาด
เฟิงหลิงหยุนทราบดีว่าในตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
กลัวแต่เพียงว่านางยิ่งโวยวาย ฝ่าบาทก็ยิ่งโมโห ผลสุดท้ายก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นอีก
“เฟิงหยูหลันใส่ร้ายปรักปรำฉู่หวูโยวโดยไตร่ตรองไว้แล้ว เฟิงหลิงหยุนจงใจปกป้อง สมรู้ร่วมคิดกับนางเพื่อมาหลอกข้า โทษไม่อาจละเว้นได้!” ในน้ำเสียงของฝ่าบาทได้เปี่ยมไปด้วยความโมโหแล้ว
เขาเป็นฝ่าบาท ฝ่าบาทที่อยู่เหนือมวลชน มีหรือที่จะทนให้คนอื่นมาหลอกลวงได้