บทที่ 14 นางหวาดกลัวไปชั่วขณะ
คงเป็นเพราะท่าทางขององค์ชายเจ็ด ทำให้ฉู่หวูโยวลอยไปแล้ว นางขอยืมความกล้าจากสวรรค์ จากนั้นก็แสร้งลูบหน้าของตนเองแล้วพูดขึ้นด้วยความสงสารตนเองว่า : “ปีศาจจิ้งจอกหรือ ? หม่อมฉันไม่คู่ควรหรอกเพคะ”
จากนั้นนางก็หันมองใบหน้าที่ไม่อาจมีใครเทียบเทียมได้ขององค์ชายเจ็ด แล้วยิ้มอย่างมีนัย : “ได้ยินว่า ไม่ว่าจะเป็นปีศาจจิ้งจอกชายหรือหญิง ก็จะมีใบหน้าที่งดงามหาใครเทียบได้”
ทันทีที่พูดจบ ฉู่หวูโยวก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหาร
ซวนหยวนหรงโม่หันมองนาง หันมองนางอยู่เช่นนั้น ในแววตาที่สงบนิ่งของเขา มาปรากฏความรู้สึกใด ๆ แม้แต่น้อย แต่กลับทำให้ฉู่หวูโยวรู้สึกตกใจจนหัวใจเต้นระส่ำ
ฉู่หวูโยวหวาดกลัวไปชั่วขณะ แอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จากนั้นจึงหยิบเข้าขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วใส่เข้าไปในปาก เพื่อต้องการจะดันคำพูดของนางเมื่อครู่กลับเข้าไป
คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อครู่นางจะกล้าหยอกล้อองค์ชายเจ็ด ! แอบเปรียบเปรยว่าองค์ชายเจ็ดเป็นปีศาจจิ้งจอก ! ถึงแม้ปีศาจจิ้งจอกที่พูดถึงจะมีความหมายในทางชมเชย แต่ว่า......
นายลอยไปแล้ว !
อะไรที่ทำให้นางลอยได้ถึงขนาดนี้ ? ปกติมอบถั่วลิสงให้นางหนึงขีด นางยังไม่ลอยถึงขนาดนี้เลย
นางใส่ขนมเข้าปากอย่างรีบร้อนจึงติดคอ สุดท้ายขนมถูกกลืนลงไปแล้ว แต่นางกลับเริ่มสะอึก
ฉู่หวูโยวคิดว่า คงไม่ได้เป็นเพราะขนม แต่น่าจะเป็นเพราะตกใจองค์ชายเจ็ด
ในที่สุด สายตาที่จ้องเขม็งขององค์ชายเจ็ดก็ผละออกไปจากตัวนาง ทำให้ฉู่หวูโยวรู้สึกโล่งใจและหายจากอาการสะอึก
ฉู่หรูเสว่ที่เพิ่งเติมหน้าเสร็จ เมื่อเห็นว่าอค์ชายเจ็ดกำลังพูดอะไรบางอย่างกับฉู่หวูโยว ก็แอบรู้สึกตกใจ นางรีบยกขนมและน้ำชาเดินเข้ามาทันที : “เมื่อครู่ทำให้องค์ชายเจ็ดต้องทรงตื่นตระหนกแล้ว เสว่เอ๋อร์เพิ่งไปชงชามาใหม่ เชิญองค์ชายเจ็ดทรงลิ้มรสดูสักหน่อยสิเพคะ”
สีหน้าของซวนหยวนหรงโม่กลับมาเย็นชาอย่างที่เคยเป็นมา
เขาไม่หันมองฉู่หวูโยวอีก แน่นอนว่า เขาไม่ชายตามองฉู่หรูเสว่เลยสักนิด
ฉู่หวูโยวรู้ดีว่าตนเองค่อนข้างรู้กาลเทศะ นางจึงไม่อยากนั่งเป็นก้างขวางคอ รบกวนเวลาพลอดรักของคนอื่นอยู่ที่นี่
นางปัดเศษขนมที่ติดอยู่บนมือเบา ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากศาลาไป ปล่อยให้ที่นี่เป็นของพวกเขาสองคน
มือของซวนหยวนหรงโม่จับแก้วน้ำชาแน่นขึ้น ในแววตาที่ลึกซึ้งนั้น เผยประกายมืดมิดขึ้นมา
ฉู่หวูโยวเพิ่งเดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ถูกเฟิงหยูหลันเข้ามาขวางทางเอาไว้
เมื่อฉู่หวูโยวเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองและอิจฉาริษยาของเฟิงหยูหลัน ก็แอบขำอยู่ในใจ
นางเคยบอกแล้วว่าจะยกเลิกการแต่งงานกับไป๋อี้เฉิน เฟิงหยูหลันยังตามตอแยนางอยู่เช่นนี้ ช่างน่าขำเสียจริง ๆ
เฟิงหยูหลันเก็บซ่อนความริษยาบนใบหน้าเอาไว้ แล้วฝืนยิ้มออกมา จากนั้นจึงกระซิบเบา ๆ ว่า : “พี่เฉินบอกว่า ในใจของเขานั้นมีแค่ข้าคนเดียว พี่เฉินยังบอกอีกว่า อีกไม่กี่วันจะมาสู่ขอข้า”
ขณะที่เฟิงหยูหลันพูดอยู่นั้น ก็จ้องมองฉู่หวูโยวตาเขม็ง เพื่อรอให้ฉู่หวูโยวโมโห
“อ้อ ยินดีด้วยนะ” ฉู่หวูโยวกลับไม่เงยมองด้วยซ้ำ ทำเพียงแค่ตอบกลับอย่างเกียจคร้านหนึ่งประโยค ไม่ได้โมโหตามที่เฟิงหยูหลันคาดการณ์เอาไว้ ถึงขึ้นไม่แยแสเลยแม้สักนิด
ฉู่หวูโยวรู้สึกว่าเฟิงหยูหลันนั้นน่าขำสิ้นดี หากไป๋อี้เฉินพูดเช่นนี้กับเฟิงหยูหลันจริง เฟิงหยูหลันก็คงไม่จำเป็นต้องแอบกระซิบนางเช่นนี้ กลอุบายเด็ก ๆ เช่นนี้ ช่างน่าเบื่อจริง ๆ
เฟิงหยูหลันตกตะลึงโดยสมบูรณ์ นางคิดว่า ที่ก่อนหน้านี้ฉู่หวูโยวไม่โมโห เป็นเพราะพระยาสั่งเอาไว้ อย่างไรเสีย วันนี้ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระยา
แต่ตอนนี้ นางพูดอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ ฉู่หวูโยวกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรเลยสักนิดหรือ ?
เมื่อคิดถึงแผนการในวันนี้ เฟิงหยูหลันก็อดที่จะร้อนใจไม่ได้
เฟิงหยูหลันกลอกตาเล็กน้อย จากนั้นจึงกระซิบขึ้นอีกครั้ง : “พี่เฉินบอกว่าจะต้องสลัดยัยขี้เหร่ย่างเจ้าออกไปให้ได้ จากนั้นก็จะแต่งงานกับข้าอย่างชอบธรรม”
เฟิงหยูหลันลองยั่วโมโหฉู่หวูโยวอีกครั้ง
ฉู่หวูโยวจะไม่เข้าใจความคิดของเฟิงหยูหลันได้อย่างไร เฟิงหยูหลันต้องการยั่วโมโหนาง ทำให้นางโกรธ ให้นางทำเรื่องน่าอับอาย ต้องการให้นางกลายเป็นตัวตลกในงานวันเกิดของท่านพ่อต่อหน้าทุกคน
อย่างเฟิงหยูหลันนะหรือจะยั่วโมโหนางได้ น่าขำสิ้นดี !
“คุณหนูเฟิงอายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ แต่กลับเป็นโรคความจำเสื่อมของคนชราแล้วหรือ” ฉู่หวูโยวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วกวาดสายตามองเฟิงหยูหลัน ในคำพูดที่ฟังดูสบาย ๆ ของนาง กลับแฝงไปด้วยการเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย
“หมายความว่าอย่างไร ?” เฟิงหยูหลันผงะไป เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจความหมายของฉู่หวูโยว
ฉู่หวูโยวหลุดขำออกมา : “คำพูดเดียวกัน แต่คุณหนูเฟิงกลับพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณหนูเฟิงเป็นโรคความจำเสื่อม ก็อย่าเหมารวมว่าคนอื่นจะเป็นแบบเดียวกับเจ้าด้วยสิ”
เฟิงหยูหลันตัวแข็งทื่อ ปรากฏสายตาของความโกรธเคืองขึ้นอย่างรวดเร็ว แทบทนไม่ไหวที่จะฉีกรอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่หวูโยวเสีย
ฉู่หวูโยวกำลังด่านางว่าโง่หรือ ? ด่านางว่าเบาปัญญาหรือ ? ยัยบ๊องอย่างฉู่หวูโยวมีสิทธิ์อะไรมาด่านาง ?
แต่เฟิงหยูหลันรู้ดีว่า ตนเองจะใช้อารมณืก่อนไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้นางมาเพื่อยั่วโมโหยัยขี้เหร่ฉู่หวูโยว จะปล่อยให้ยัยขี้เหร่มายั่วโมโหไม่ได้
แต่เฟิงหยูหลันก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ นางคิ ดไม่ถึงเลยว่า ฉู่หวูโยวจะมีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นนี้
หากฉู่หวูโยวยังคงไม่โกรธ ไม่โมโหอยู่เช่นนี้ แผนการของนางก็จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ สีหน้าของเฟิงหยูหลันแสดงออกถึงความร้อนใจ มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เฟิงหยูหลันหันมองฉู่หวูโยวที่ยังคงสงบนิ่ง จากนั้นแววจาก็เผยความชั่วร้ายออกมา นางเดินตรงเข้าไปอย่างกะทันหัน แล้วออกแรงดึงฉู่หวูโยวเข้ามา
มือของเฟิงหยูหลันที่แอบอยู่ภายใต้แขนเสื้อ ชักมีดพกออกมาทันที จากนั้นจึงกรีดไปที่แก้มของตนเอง จนมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาทันใด
จากนั้น เฟิงหยูหลันก็นำมีดพกที่กรีดหน้าตนเอง สอดเข้าไปในมือของฉู่หวูโยว และกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว : “โอ๊ย หน้าของข้า หน้าของข้า ฉู่หวูโยว ทำไมเจ้าต้องทำลายใบหน้าของข้าด้วย”
แต่ละคำที่ออกมา ล้วนกล่าวโทษฉู่หวูโยวทั้งสิ้น
ฉู่หวูโยวเหลือบมองอาวุธที่เฟิงหยูหลันฉวยโอกาสสอดเข้ามาในมือของนางเมื่อครู่ นี่เป็นมีดพกที่ฝีมือประณีตเป็นพิเศษและคมกริบ ทำจากวัสดุล้ำค่าหายาก งานฝีมือประณีต เป็นมีดที่ดีเล่มหนึ่ง
“หวูโยว เจ้าทำอะไรลงไป ? ต่อให้เจ้ารักองค์ชายไป๋ แต่ก็จะทำร้ายคุณหนูเฟิงเช่นนี้ไม่ได้” เมื่อฉู่หรูเสว่ได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งตรงเข้ามาทันที เมื่อเห็นเลือดบนหน้าของเฟิงหยูหลัน ก็กรีดร้องออกมาด้วยเช่นกัน
และแต่ไหนแต่ไรมา ฉู่หรูเสว่ก็มักจะโยนความผิดให้ฉู่หวูโยวอยู่เสมอ
มุมปากของฉู่หวูโยวเผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา ที่จริงแล้ว ด้วยฝีมือของนาง สามารถหลบเลี่ยงเฟิงหยูหลันได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถขัดขวางการสอดอาวุธเข้ามาในมือตนเองของเฟิงหยูหลันได้อย่างแน่นอน
แต่นางกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ในเมื่อพวกนางอยากเล่นสนุก เช่นนั้นนางก็จะเล่นสนุกเป็นเพื่อนพวกนางเสียหน่อย
อย่างไรเสียก็ว่างอยู่แล้ว สมัยโบราณนี้ช่างน่าเบื่อเกินไปจริง ๆ
นางเองก็อยากดูเสียหน่อยว่า พวกนางจะเล่นลูกไม้อะไรกัน ? !
“พี่ใหญ่ ๆ เจ็บจริง ๆ เจ็บมาก ข้าถูกทำให้เสียโฉมแล้ว ข้าถูกทำให้เสียโฉมแล้ว” เฟิงหยูหลันร้องไห้ขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก ทำราวกับจะยกมือขึ้นกุมหน้า แต่มือของนาง กลับไม่สัมผัสกับบาดแผลบนใบหน้าเลยสักนิด
เลือดยังไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด หากเป็นคนทั่วไป คงต้องยกมือขึ้นกดบาดแผลเพื่อห้ามเลือดตามสัญชาตญาณก่อนแน่นอน แต่เฟิงหยูหลันกลับไม่ทำเช่นนั้น มือของนางกลับโบกไปมาอยู่รอบ ๆ บาดแผล
การกระทำเช่นนั้น ในสายตาของคนทั่วไป คงดูเหมือนว่านางตกใจสุดขีดจนทำตัวไม่ถูก
แต่ฉู่หวูโยวกลับรู้ดีว่า ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลแพทย์ เฟิงหยูหลันย่อมมีความรู้อยู่ไม่มากก็น้อย
ฉู่หวูโยวแสยะยิ้ม น่าสนุกจริง ๆ !