4
ความทรงจำ
คนตัวสูงยืนดูสถานการณ์อยู่มุมหนึ่ง ทุกคนเข้าไปในห้องพร้อมกันหมดยกเว้นเสิ่นอ้ายเหรินที่เดินตามมาทีหลัง หรือความสัมพันธ์ของสองคนนี้จะไม่ค่อยดีหรือยังไง แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเสิ่นอ้ายเหรินเคยเล่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้เขาฟัง
เธอแต่งงานแล้วเมื่อสามปีก่อน ผู้หญิงคนนั้นโยนหัวใจของเขาทิ้งอย่างไม่ไยดี กว่าจะตั้งตัวเริ่มต้นใหม่ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร
ก่อนหน้าที่เสิ่นอ้ายเหรินจะได้กลับเข้าไปเป็นคุณหนูของบ้านตระกูลเสิ่น เขาและเธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน เธอน่ารักและฮอทสุด ๆ ในกลุ่มผู้หญิง ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นดาวเด่น เขารู้จักเธอผ่านทางเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นหลี่เฉินกงตั้งใจตามจีบเธอ แต่เสิ่นอ้ายเหรินก็วางเขาไว้ในฐานะเพื่อน
“ขอโทษนะเฉินกง ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” หญิงสาวบอกปฏิเสธผู้ชายที่เข้ามาจีบ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเธอก็จำไม่ได้
“อ้ายเหริน ฉันไม่เห็นว่าเธอจะคบใครเลย” หลี่เฉินกงทำหน้าเศร้า
“ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง นายจะได้เจอกับคนที่เหมาะสมกับนาย” เสิ่นอ้ายเหรินยิ้มให้อย่างมีไมตรีจิต
“งั้นเราเป็นเพื่อนกันได้ไหม” หลี่เฉินกงลองหยั่งเชิงถ้าเธอไม่ให้เขาอยู่ในสถานะคนรัก เขาเป็นเพื่อนเธอก็ได้ “นะ ๆ” คนตัวสูงอ้อนวอนขอร้อง
“เอางั้นเหรอ”
“อื้อ”
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็กลายเป็นที่สนิทกันมาก มากจนหลี่เฉินกงเห็นทุกร่องรอยความเจ็บปวดของผู้หญิงคนนี้ เธอเฝ้ารอคอยผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเจอในวัยเด็ก คาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอกัน และในที่สุดเสิ่นอ้ายเหรินก็กลับไปสู่ช่วงเวลาที่เธอโหยหา
ครอบครัวและความรัก
คนตัวสูงตั้งใจเข้าไปทักทายเพื่อนสนิท
“อ้ายเหริน” ชายหนุ่มทำสีหน้าให้เป็นปกติ ทุกครั้งที่เขาเจอเธอหัวใจเขาสั่นไว้ทุกที
“อ้าว!! นายมาได้ยังไงเนี่ย” อ้ายเหรินเองก็ปรับสีหน้าให้สดใส
เธอตั้งใจมาพบหน้าอ้ายฉิง เมื่อคืนพอรู้ว่าน้องสาวฟื้นขึ้นมาจากอาการเจ้าหญิงนิทรา ก็แทบจะออกเดินทางมาตั้งแต่คืนนั้น แต่เพราะพายุฤดูร้อน เที่ยวบินทั้งหมดถูกยกเลิกแม้แต่เจ็ทส่วนตัว ทำให้เธอและครอบครัวเดินทางมาไม่ได้
หลี่เฉินกงไม่ตอบคำถามของเสิ่นอ้ายเหริน
“มาเยี่ยมใครเหรอ” หลี่เฉินกงถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้ว
“น้องสาวน่ะที่เคยเล่าให้ฟัง” เสิ่นอ้ายเหรินละสายตาจากหลี่เฉินกง เธอแอบมองภายในห้องพักผู้ผ่านประตูที่แง้มเอาไว้
“แล้วทำไมไม่เข้าไป”
เสิ่นอ้ายเหรินยักไหล่
“ก็เล่าให้ฟังไปหมดแล้วว่า อ้ายฉิงไม่ชอบหน้าฉัน เข้าไปมีหวังเธอได้โวยวายจนโรงพยาบาลแตกแน่ ๆ”
“อ้อ” หลี่เฉินกงก็เพิ่งนึกออก
คนตัวสูงยืนอยู่ด้านหลังของเพื่อนสนิท และแอบฟังคนด้านในพูดคุยด้วยเหมือนกัน
เพราะเมื่อกี้เธอให้ถังเจิ้งเหอพาออกไปเล่นน้ำฝน ตอนนี้เลยรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ เหมือนจะเป็นไข้ คนตัวเล็กกระชับผ้าห่มและบอกให้เขาเปิดฮีทเตอร์สร้างความอบอุ่น บอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกผิด เขาทำหน้าที่ผิดพลาด ตอนนั้นก็ด้วยปล่อยให้ผู้ชายที่ไม่น่าไว้ใจมาอยู่ข้างเธอ
“เหมือนคุณหนูจะไม่สบาย ผมไปตามหมอนะครับ”
“อื้อ” อ้ายฉิงพยักหน้าเบา ๆ
พายุฤดูร้อนจบแล้ว ฝนที่ตกหนักเมื่อสักครู่เริ่มเบาบางแล้ว อ้ายฉิงเหม่อมองออกมาที่ด้านนอกอีกครั้ง ตอนนี้แสงอาทิตย์เริ่มส่องประกาย ค่อยดูเหมือนช่วงเวลากลางวันหน่อยอ้ายฉิงคิดในใจ
ประตูห้องพักของอ้ายฉิงเปิดออก
“อาเหอ อยากกินซุปร้อน ๆ สักถ้วยจัง” ถ้าได้กินตอนหนาว ๆ ร้อน ๆ แบบนี้คงจะดีไม่น้อย
พออาเหอไม่ตอบ อ้ายฉิงจึงหันกลับไปดู
“คุณพ่อ” อ้ายฉิงชายสูงวัยที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง
“ฉิงเอ๋อ” เสิ่นเซียงหนิงผู้เป็นแม่รีบถลาเข้ามากอดเธอ
ตอนนี้เสิ่นเซียงหนิงกอดแน่นจนเธอหายใจแทบไม่ออก
“คุณแม่ หนูหายใจไม่ออก”
เสิ่นเซียงหนิงรู้ตัวจึงคลายอ้อมกอด เสิ่นเหยาซิ่วชี้นิ้วไปที่โต๊ะกลาง ผู้ติดตามสี่ห้าคน ของตระกูลเสิ่นจึงนำสัมภาระที่ถือมาไปวาง
“นั่นอะไรเหรอคะ” อ้ายฉิงถาม
“ของใช้จำเป็นสำหรับหนูน่ะลูก” เสิ่นเซียงหนิงเป็นคนตอบ
เธอรอเวลานี้มานานเหลือเกิน ในที่สุดลูกสาวแท้ ๆ ของเธอก็ฟื้นขึ้นมาสักที หลายปีมานี้เสิ่นเซียงหนิงออกไหว้พระทุกวัดบนบานต่อเทพเจ้า สร้างกุศลต่าง ๆ มากมายเพื่อหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้ลูกสาวของเธอฟื้นขึ้น
“แล้วพี่เฟยฉีกับเฟยหมิง?” อ้ายฉิงถามถึงแค่พวกเขา
“พวกเขาต้องไปทำงานต่อ เย็น ๆ ถึงจะแวะมาหา” นายใหญ่เสิ่นเป็นคนตอบคำถามนี้
ผู้เป็นพ่อเดินไปนั่งที่โซฟา ส่วนคุณนายเสิ่นกุลีกุจอจัดแจงผลไม้ให้บุตรสาว นานแล้วที่เธอไม่ได้ดูแลใครแบบนี้
“ฉิงเอ๋อ กินผลไม้ไหม แม่จะปอกให้”
“ดีค่ะ” อ้ายฉิงส่งยิ้ม “ขอชิ้นเล็ก ๆ หน่อยนะคะ หนูยังทานอะไรไม่ค่อยได้ อาจารย์หมอกู้บอกเอาไว้”
“แน่นอนจ่ะ”
ทั้งห้องตอนนี้จึงมีแต่เสียงแม่ลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน เสิ่นเหยาซิ่วได้แต่หันไปมองเวลาที่สองแม่ลูกพูดเสียงดังเท่านั้น
ไม่นานอาจารย์หมอกู้ก็เข้ามาภายในห้อง บรรยากาศจึงกลับเข้าสู่ความสงบ
“ได้ยินเจิ้งเหอบอกว่าคุณหนูไม่สบาย”
“ค่ะ รู้สึกร้อน ๆ หนาว”
“ร่างกายเพิ่งหายดี อย่าเพิ่งซุกซน” อาจารย์หมอกู้สั่งเพราะได้ยินมาว่าเธอแอบออกไปเที่ยวเล่นรอบโรงพยาบาล
“หนูทราบค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้ลำบาก”
เสิ่นเหยาซิ่วแทบไม่เชื่อหูตัวเอง อย่างอ้ายฉิงเนี่ยนะพูดคำว่าขอโทษ คุณนายเสิ่นที่ได้ยินก็รู้สึกเช่นกัน
“ฉิงเอ๋อ สมองหนูกระทบกระเทือนอะไรหรือเปล่า” คุณนายเสิ่นจับใบหน้าลูกสาว “หรือเป็นวิญญาณของคนอื่นมาเข้าสิงร่างลูกสาวฉัน”
ใบหน้าของอ้ายฉิงถูกมารดาทั้งจับทั้งบีบจนแก้มเนียนยู่ไปหมด
“คุณแม่ หนูเองค่ะ”
คนตัวเล็กต้องดึงมือของหญิงสูงวัยออกจากหน้าของตนเอง ช่วงเวลานี้ดีจริง ๆ ดีที่ไม่มีเสิ่นอ้ายเหริน
“มีอะไรบ้างที่ต้องกังวล” เสิ่นเหยาซิ่วถามหมอกู้
“เพราะนอนเป็นผักมายาวนาน กล้ามเนื้อในร่างกายก็ไม่ได้เคยได้ใช้งาน ระหว่างนี้ราวสองถึงสามเดือนให้เธออยู่โรงพยาบาลไปก่อน คอยทำกายภาพบำบัด” หมอกู้พูดตามตรง
“นานขนาดนั้นเลยหรือ แล้วเธอจะหายเป็นปกติไหม” นายใหญ่เสิ่นถาม
“ต้องหายแน่นอนอยู่แล้ว”
“งั้นก็ดี” เสิ่นเหยาซิ่ววางใจ
กว่าจะใช้เงินวิ่งเต้นปิดคดีของอ้ายฉิงได้เสิ่นเหยาซิ่วต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง โชคดีที่ฮั่วเฉินเกิดอุบัติเหตุและหายตัวไปซะก่อน เลยไม่มีพยานมาคอยเปิดโปงความเลวร้ายของอ้ายฉิง
อ้ายฉิงสังเกตสีหน้าผู้เป็นบิดา ดูก็รู้ว่าเขารู้สึกโล่งอก แต่ก็มีความอึดอัดใจบางอย่างที่พูดไม่ได้
“ดูเหมือนคุณพ่อมีเรื่องจะพูดนะคะ” อ้ายฉิงเปิดประเด็น
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวพูดเช่นนั้น ตนเองจึงเริ่มระบายความอัดอั้นทั้งหมด
อาจารย์หมอกู้เห็นว่าสถานการณ์เริ่มคุกรุ่นจึงขอตัวออกไปก่อน
ห้องทั้งห้องเหลือเพียงสามคนพ่อแม่ลูก
“ดีแค่ไหนที่ฮั่วเฉินหายสาบสูญไปแล้ว”
“ลุงฮั่วหายไปแล้วเกี่ยวอะไรกับหนู” อ้ายฉิงไม่เข้าใจ เธอไม่เข้าใจจริง ๆ
“จำไม่ได้เหรอ ว่าแกทำเรื่องเลวทรามอะไรเอาไว้”
คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงงงเป็นไก่ตาแตก พยายามนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ
“น่ะ หนูจำไม่ได้”
เกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำของเธอกันแน่ เหมือนตอนที่เข้าไปอยู่ในโลกม่านฮว่า เธอว่าเธอจำได้นะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมจู่ ๆ ตอนนี้ต่อให้นึกยังไงอ้ายฉิงก็นึกไม่ออก
เกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำของเธอกันแน่..