2
ใช่เขาหรือไม่
หลังจากอ้ายฉิงหลับไป พายุฤดูร้อนก็ซัดโหมทั้งวันทั้งคืน เวลาที่มองออกไปนอกหน้าต่างเพราะม่านฝนทำให้เธอมองไม่เห็นวิวอะไรเลย เช้านี้ก็ยังไม่เห็นคนที่เธอเรียกว่าครอบครัวเลยสักคน พ่อ แม่ พี่ชาย ก็เข้าใจได้แหละ พายุแรงขนาดนี้จะมาหาเธอได้ยังไงกัน อ้ายฉิงเก็บความน้อยใจเอาไว้
กระทั่งช่วงสายของก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัว เขาสวมชุดสีดำเข้ากับเนกไท ผมเผ้าของเขาตอนนี้มีร่องรอยของหยาดฝน คงจะเป็นเพราะรีบฝ่าฝนมาหาเธอ ผู้ชายคนนั้นแนะนำตัวเองว่าเป็นเลขาของนายใหญ่เสิ่น เวลานี้เขาถูกส่งมาเพื่อดูแลเธอโดยเฉพาะ
“ผมถังเจิ้งเหอ” จะเป็นทั้งเลขาและบอดี้การ์ดของคุณครับ ถังเจิ้งเหอพูดอย่างสุภาพ
อ้ายฉิงมองหน้าผู้ชายคนนั้น เขาตัวสูงราว 190 ใบหน้าคมคาย ยูนีค คล้าย ๆ พวกนายแบบมากกว่าจะมาทำอาชีพเป็นบอดี้การ์ดหรือเลขา
“อย่างนายเนี่ยนะ จะเป็นบอดี้การ์ดฉัน แถมพ่วงด้วยตำแหน่งเลขาอีก” หญิงสาวหรือสึกดูแคลนเขาในใจ รอบตัวเธอส่วนใหญ่จะเป็นคนที่อ้ายฉิงคัดเลือกเองกับมือ ไม่เป็นนักเรียนจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ก็ต้องจบจากต่างประเทศ หากไม่จบจากสถาบันดังก็ต้องมีฝีมือโดดเด่น
ถังเจิ้งเหอเห็นสายตาของของนายหญิงคนใหม่และรับรู้ได้ว่าเธอไม่ชอบเขา
“นี่เป็นเรซูเม่ครับ” เขายื่นซองเอกสารให้แก่เสิ่นอ้ายฉิง
ซองสีน้ำตาลทึบถูกส่งให้เธอ มือเล็กของเธอรับมา แต่ก็ร่วงหล่น เพราะตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงจับ
“ผมแกะให้ครับ” ถังเจิ้งเหออาสา
กระดาษเอสี่ปึกหนึ่งถูกส่งให้คนป่วย อ้ายฉิงวางมันลงกับตักและพิจารณาแต่ล่ะหน้าอย่างช้า ๆ
เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อก็จริง แต่จบทางด้านกีฬาและยังมีการเรียนกฎหมายควบคู่ไปด้วยกัน ก็ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับสถาบันการศึกษาของเขา
แต่เมื่อพิจารณามาถึงประวัติการทำงานอ้ายฉิงต้องขมวดคิ้ว
ประวัติการคุ้มครองบุคคลสำคัญยาวเสียจนกระดาษขนาดเอสี่ ไม่พอเขียน กว่าจะเจอหน้าสุดท้ายอ้ายฉิงเปิดจนเหนื่อย แถมเขายังเคยเป็นทหารรับจ้างอยู่ในฝรั่งเศส
“เดี๋ยวนะ ฉันต้องใช้อดีตทหารรับจ้างมาคอยดูแลเลยเหรอ คุณพ่อคิดอะไรอยู่” อ้ายแสดงออกชัดเจนว่าไม่เข้าใจการกระทำของนายใหญ่เสิ่น
“รอบตัวคุณหนูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ระหว่างที่คุณนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราก็ถูกลอบฆ่าไปสามครั้ง เราต้องเปลี่ยนโรงพยาบาลให้คุณอยู่บ่อย ๆ จนการรักษาไม่ต่อเนื่องคุณถึงได้ฟื้นขึ้นมาช้ากว่าที่ควรจะเป็น” เขาบอกเรื่องราวทั้งหมดตามที่เขารู้ให้เธอฟัง
ได้ยินว่ามีคนปองร้ายเธอตลอดเวลา อ้ายฉิงก็ขนลุกซู่ ในการ์ตูนเธอก็เฉียดตายมาไม่รู้กี่ครั้ง ความทรงจำตอนบาดเจ็บหนัก มันทรมานมาก ๆ คนตัวเล็กกระชับผ้าห่มเข้ามาห่อหุ้มร่างกายเล็ก ๆ โดยอัตโนมัติ
“ก็แน่ล่ะ ฉันมันคนชั่ว ทำเรื่องเลวทรามไว้เยอะ อยู่กับฉันก็ลำบากหน่อยนะถังเจิ้งเหอ” เธอหันไปบอกกับบอดี้การ์ดคนใหม่
“ชั่วกว่าคุณผมก็เจอมาแล้ว” ถังเจิ้งเหอรีบปิดปากตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรที่ไม่ควร
“นายว่าฉันเหรอ” เธอแสร้งขึ้นเสียงใส่เขา สายตาของผู้บริหารอย่างอ้ายฉิงย่อมรู้ว่าใครเป็นอย่างไร สำหรับนายคนนี้ซื่อบื้อนัก หวังว่าในอนาคตจะไม่ถือมีดมาแทงเธอทีหลังก็แล้วกัน
“ผมขอโทษ”
“ฉันอยากกินขนม ช่วยพาฉันไปซื้อที่มาร์ทของโรงพยาบาลที”
“แต่..”
“ไถ่โทษที่นายกล่าวหาฉันเมื่อกี้” อ้ายฉิงทำหน้าจริงจัง
ถังเจิ้งเหอทำหน้าสลด ที่ว่าเธอเป็นนางมารร้ายตัวน้อย ๆ ไม่เกินจริงเลย
ไม่นานรถเข็นก็ถูกนำเข้ามาในห้อง
เพราะเธอนอนเป็นผักมาหลายปี ทำให้ร่างกายมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคนพิการ และหลังจากนี้เธอจะต้องทำกายภาพอย่างหนักเพื่อให้กลับมาเดินได้อย่างปกติ
ถังเจิ้งเหอเป็นคนอุ้มเธอนั่งลงบนรถเข็นหน้ากากอนามัยและหมวกบักเก็ตถูกยื่นให้คนตัวเล็ก พยาบาลคนเมื่อคืนเป็นคนเตรียมไว้ให้เธอโดยเฉพาะ
“เอ๊ะ ขอบคุณนะคะ” อ้ายฉิงยิ้มให้หล่อน
พยาบาลสาวยิ้มตอบรับและเดินหายไป ปล่อยให้สองคนอยู่ด้วยกัน
“อาเหอ พาฉันเที่ยวโรงพยาบาลหน่อยได้ไหม”
นายหญิงคนใหม่เปลี่ยนเป้าหมาย
บอดี้การ์ดหนุ่มทำหน้าเคร่งเครียด แต่ก็ยอมพาเธอไปแต่โดยดี จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล
“ขยับออกไปอีกนิดได้ไหม” อ้ายฉิงสั่ง
ถังเจิ้งเหอดันรถเข็นออกไปอีกนิด
อ้ายฉิงยื่นมือออกไปสัมผัสกับละอองฝน เนิ่นนานจนเธอเริ่มหนาว
“กลับเข้าข้างในกันเถอะ”
“ไปไหนต่อไหมครับหรือจะให้ผมพาขึ้นข้างบนเลย” ถังเจิ้งเหอ ถามหยั่งเชิง เขากลัวเธอจะป่วยอีกครั้ง
“ไปโรงอาหาร” เธออยากกินซุปร้อน ๆ สักถ้วย อาหารของผู้ป่วยมีแต่ของจืด ๆ เธอไม่ชอบเลย
เพราะไม่อยู่ในช่วงเวลาพักกลางวัน ทำให้โรงอาหารของโรงพยาบาลไม่วุ่นวายนัก ถังเจิ้งเหอเข็นรถเข็นมาไว้ที่มุมหนึ่ง ตรงนี้ไม่พลุกพล่าน ไม่เป็นที่สังเกตและอยู่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์ขายอาหาร เขาจึงวางใจ
“เดี๋ยวผมไปซื้อให้นะครับ”
อ้ายฉิงพยักหน้า
“ทำไมถึงหานักวาดไม่เจอ นายบอกฉันว่านักวาดมาหาหมอที่โรงพยาบาลนี้บ่อย ๆ นี่”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งกำลังคุยโทรศัพท์ มันดังออกมาจากโต๊ะที่อยู่ถัดไปหนึ่งที่นั่ง ทำไมเมื่อสักครู่ตอนเข้ามาเธอถึงไม่เห็นเขาล่ะ หรือว่าเขาเพิ่งมาถึง
เมื่อฟังดี ๆ อีกครั้งอ้ายฉิงรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เพื่อคลายความสงสัยของตนเอง คนตัวเล็ก พยายามลุกออกจากที่นั่ง สองขาของเธอสั่นไหวมือไม้ก็อ่อนแรง อ้ายฉิงเกาะโต๊ะไปเรื่อย ๆ หมวกที่เธอสวมหล่นจากการพยายามทู่ซี้เดินมาหาเขา
“ฉันก็ตามหานักวาดอยู่นี่ไง เมื่อหลายปีก่อนลิขสิทธิ์หลุดมือเราไป ตอนนี้น่าจะใกล้....” ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีใครกำลังจ้องมองจึงหยุดพูดสายโทรศัพท์
ยิ่งใกล้อ้ายฉิงยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ตอนที่เขาหันมามองทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ เป็นเขาจริง ๆ ด้วยหลี่เฉินกง...