บทที่ 9
คิม สิรภพ ขับรถมาหยุดอยู่หน้าธนาคารที่อยู่เลยร้านอาหารประมาณห้าร้อยเมตร ก่อนจะเปิดประตูรถออกไปเขาหันมาถามคนที่นั่งข้างๆ ที่ยังคงนั่งหน้าบึ้งตึงเหมือนเดิม
“ผมจะไปเบิกเงินสักหน่อย คุณจะไปกับผมหรือเปล่า หรือจะนั่งรอในรถ”
“แดดร้อน ฉันรออยู่นี่ดีกว่า”
ชายหนุ่มกลั้นยิ้มแทบแย่พลางนึกในใจ...กลัวแดดเหมือนกันหรือนี่...ผู้หญิง...เฮ้อ...กลัวไม่สวย...กำลังจะปิดประตูรถอยู่แล้ว เมื่อเขานึกอะไรขึ้นมาได้ ประกายขี้เล่นวับวาวในดวงตาเมื่อคำถามถัดมาออกจากปาก
ความจริงเขาก็มิได้ใจไม้ไส้ระกำอะไรนักหรอก ตั้งใจอยู่แล้วว่า หากหล่อนอยากได้อะไร เขาก็คงซื้อหาให้ด้วยความเต็มใจ เพราะตัวเองเป็นคนพาหล่อนมาเดือดร้อนด้วย แต่...ท่าทางหล่อนที่แสดงออกนั่นน่ะซิ ที่ทำให้เขาอดแกล้งเย้าแหย่มิได้
“นี่คุณ...เดี๋ยวผมให้ยืมเงินเอามั้ย แล้วค่อยคืนผมทีหลัง เผื่อคุณอยากซื้ออะไร”
คนขี้หงุดหงิดเชิดหน้าพลางตอบเสียงห้วนจัด
“ไม่เป็นไร คงไม่รบกวนคุณมากไปกว่านี้หรอก”
คิมไหวไหล่ ทั้งที่ดวงตาพราวระยับ
“ตามใจคุณ งั้นรอผมตรงนี้นะ เดี๋ยวผมมา”
พูดจบเขาก็เดินไปที่ตู้เอทีเอ็มด้านหน้าธนาคารทันที ทิ้งให้คนที่นั่งรอในรถจมกับความคิดของตัวเอง
ไลลาหงุดหงิดเป็นที่สุด ทำไมหนอ...วันนี้มันเป็นวันวิปโยคของหล่อนหรือไงนะ ถึงได้มีแต่อุปสรรคล้านแปดอย่างนี้ แล้วนี่กระเป๋าตังค์หล่อนมันหล่นหายไปตอนไหนกันนะ หล่อนพยายามทบทวนความจำ ครั้นแล้วก็นึกไปถึงตอนที่ควักตังค์ในกระเป๋าจ่ายค่าทำขวัญให้คนขี่มอเตอร์ไซค์ เพราะแม่สรีเพื่อนตัวดีดันขับรถไปเฉี่ยวเขาเข้าเมื่อวานนี้ตอนอยู่ที่พัทยา มันคงหล่นตอนที่หล่อนหย่อนมันเข้ากระเป๋านั่นแหละ
ไลลากำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง หล่อนจึงมิได้สังเกตว่าคนที่ไปเบิกเงินเดินกลับมาแล้ว และเปิดประตูรถขึ้นมานั่งข้างๆ หล่อน เสียงประตูปิดทำให้หล่อนตกใจ
“โอย ! เข้ามานั่งก็ไม่บอก”
หญิงสาวโวยวาย พลางลูบอกเหมือนปลอบตัวเอง
“นี่คุณ ! คนทั้งคน...มองไม่เห็นเหรอ”
“ไม่เห็น !”
หล่อนเถียงหน้าตาย
คิมส่ายหน้าระอา นอกจากจะขี้โมโห ขี้หงุดหงิด แล้วแม่สาวคนนี้ยังขี้โมเมอีกแน่ะ
“เอาล่ะ ผมขี้เกียจเถียงกับคุณ เราไปกันดีกว่า”
อารมณ์หงุดหงิดที่สะสมมาเป็นเวลานานทำให้ไลลาทำหน้าเหมือนคนที่กำลังหมดสิ้นความอดทน เสียงของหล่อนแหบโหยราวกับคนขาดน้ำกลางทะเลทรายเมื่อพึมพำออกมาไม่เบานัก
“นี่มันวันอะไรของฉัน...”
และก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว เจ้าหล่อนก็หันมาทำตาเหมือนแม่มดกำลังสาปแช่งใส่เขา
“คุณน่ะแหละ คุณ..มัน...มัน...ซวย !!! ”
...เพิ่มขี้ตู่อีกข้อละกัน... คิมนึกยิ้มๆ แต่ก็แกล้งถามเสียงเข้ม
“อ้าว ! ไหงมาโทษกันอย่างนี้ล่ะ”
“ก็พอฉันเจอคุณ ก็มีแต่เรื่อง...เรื่อง...เรื่อง ไม่น่าเล้ยยย ให้ตายซี งานฉันก็พลาด นัดฉันก็พลาด แล้วนี่จะฉันจะบอกกับพ่อว่ายังไง ฉันยังไม่รู้เลย”
คิมยิ้มมุมปาก ในที่สุดเขาก็รู้...
ที่แท้หล่อนเฝ้ามองโทรศัพท์ก็เพราะไม่รู้จะแก้ตัวกับพ่ออย่างไร ท่าทางพ่อของหล่อนคงจะดุน่าดู ลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว ถึงได้ยังเกรงๆ กันอยู่
เสียงของเขาที่เอ่ยประโยคต่อมา อ่อนโยนราวกับกำลังพูดอยู่กับเด็กน้อยๆ
“เอาน่า...คุณทำใจให้สบายๆ มาเที่ยวใครเค้าหงุดหงิดกัน”
เขาสตาร์ทเครื่องยนต์และเคลื่อนรถออกไปอย่างนิ่มนวล ไม่วายหันมายิ้มให้กำลังใจคนที่นั่งข้างๆ แม้ว่าหล่อนจะสะบัดหน้าหันไปทางอื่นพลางทำท่าเชิดใส่เขา แล้วค้นขยุกขยิกในกระเป๋าก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา
ไลลากดเบอร์โทรหาเพื่อนของหล่อน...สรี หากเสียงจากปลายสายบอกว่า...ปิดเครื่อง หล่อนกดปุ่มตัดสาย...นั่งนิ่งอยู่เป็นครู่ จนคนข้างๆ เกือบจะหันมาถามไถ่ แต่ก็เปลี่ยนใจ เมื่อเห็นหล่อนทำท่าค้นอะไรในกระเป๋าอีกพักหนึ่งก่อนหยิบนามบัตรสีขาวใบเล็กออกมาดูแล้วกดเบอร์ใหม่อีกครั้ง
“สวัสดีค่ะ ขอสายคุณสรี แขกที่พักอยู่ห้องหมายเลข 508 ค่ะ”
สรี...เพื่อนตัวดี ปิดมือถือเสมอ เมื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัดอย่างนี้ ทางเดียวที่จะติดต่อได้ ก็คือโทรไปที่โรงแรมที่พัก
...หวังว่าสรีคงไม่ย้ายไปพักโรงแรมอื่นนะ...
ไลลาได้แต่หวังในใจ !
“ขอโทษค่ะ แขกฝากกุญแจห้องเอาไว้ที่นี่ตั้งแต่ก่อนเที่ยง ยังไม่ได้มารับคืนเลยค่ะ”
เสียงพนักงานต้อนรับของโรงแรมตอบกลับมา หลังจากที่เงียบหายครู่หนึ่ง
“เอ...ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอฝากข้อความไว้ด้วยนะคะ บอกเขาว่า ดิฉันจะโทรมาใหม่คืนนี้ค่ะ”
“ได้ค่ะ...ไม่ทราบว่าจะให้บอกว่าจากคุณดีอะไรคะ...”
“ไลลาค่ะ”
ไลลากดปุ่มตัดการสนทนาแล้วก็ปิดมือถือเพื่องดรับการโทรเข้า หล่อนยังไม่พร้อมที่จะรับโทรศัพท์จากบิดาหรือพี่ชาย จนกว่าจะได้คุยกับเพื่อนสาวเสียก่อน สรี...อาจจะปิ๊งไอเดียอะไรดีๆ ให้หล่อนก็ได้ ขานั้น...มักจะหัวใสกับเรื่องทำนองนี้เสมอ
ไลลาผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ พยายามปัดเป่าความตึงเครียดในสมองออกไปด้วยการมองภาพทิวทัศน์ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า
ท้องทะเลกว้างไกล...กับผืนทรายสีนวลขาว...และปุยเมฆฟูฟ่องล่องลอย
ทะเลที่นี่ช่างต่างจากทะเลที่หล่อนเพิ่งจากมา...พัทยาดูจะวุ่นวายและขวักไขว่ด้วยผู้คน แต่ที่นี่...หัวหิน ทะเลสงบ...เงียบ หากก็เปี่ยมเสน่ห์อย่างน่าพิศวงทีเดียว
ความเร็วของรถเริ่มลดลง พร้อมกับที่คนขับรถหันมาบอกหล่อนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความภูมิอกภูมิใจ ละม้ายเด็กกำลังอวดของเล่นอย่างไรอย่างนั้น
“นั่นไงบ้าน ‘สุขอารมณ์’…”
