บทที่ 4 คลุมถุงชน 1
“อะไรนะม้า ม้าพูดใหม่อีกทีสิครับ” นิรัติศัยทำหน้าตื่นตกใจ แทบไม่เชื่อหูกับเรื่องที่ตนได้ยิน รีบหันไปถามนางหงส์เสียงสูง
“ลื้อได้ยินไม่ผิดหรอก อั๊วบอกว่า ลื้อต้องแต่งงานกับหนูนัน ลูกสาวของเพ็ญแขกลางเดือนหน้า อั๊วกับป๊าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว” นางหงส์ทวนประโยคเดิมให้บุตรชายฟัง คนอยากฟังซ้ำหน้ายังไม่หายจากอาการอึ้ง ยิ่งอึ้งหนักกับประโยคต่อมา “ถ้าลื้อปฎิเสธ ลื้อก็ไม่ต้องเรียกอั๊วว่าแม่ ลื้อกับอั๊วตัดขาดจากความเป็นแม่เป็นลูกกัน”
นางหงส์ไม่เปิดโอกาสให้นิรัติศัยค้าน นางลุกขึ้นเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านทันทีที่พูดจบ แต่คนเป็นลูกไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นยืนหมายจะเดินไปพูดกับมารดาให้รู้เรื่อง เพราะเรื่องคลุมถุงชนเป็นเรื่องที่คนรักอิสระอย่างเขายอมไม่ได้ ยิ่งแต่งงานกับคนไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักนิสัยใจคอ ยิ่งไม่ยอมใหญ่ ทว่าเท้าหนายังไม่ทันก้าวเดินก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงทุ้มนิ่งของบิดา
“ลื้อไม่ต้องตามแม่ลื้อไปให้เสียเวลาหรอก แม่ลื้อไม่มีวันเปลี่ยนใจ” เหลียงพูดอย่างรู้นิสัยภรรยา “ถ้ายิ่งลื้อไปพูดตอนนี้ มีแต่บรรลัยกับบรรลัย”
นิรัติศัยทรุดกายลงนั่งตามเดิม สีหน้ากลัดกลุ้มคล้ายกำลังหาทางออก
“ป๊าช่วยผมพูดหน่อยสิครับ ผมไม่อยากแต่งงาน” ความหวังเดียวของเขาคือเหลียง แม้จะรู้ว่าความหวังนั้นริบหรี่
“ลื้อก็รู้ว่าอั๊วพูดได้ซะที่ไหน แค่อ้าปากแม่ลื้อก็เบรคอั๊วหัวทิ่มแล้ว” เหลียงเป็นหัวหน้าครอบครัวก็จริง แต่ก็รู้กันอยู่ว่า เขากลัวและเกรงใจเมียมากแค่ไหน นางหงส์ว่าอย่างไร เขาก็ว่าตามนั้น เรื่องการแต่งงานของนิรัติศัยก็เช่นกัน เหลียงได้แต่นั่งฟัง ไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
“ผมไม่อยากแต่ง เจ้าสาวเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ถ้าอ้วนเหมือนตุ่ม หน้าตาขี้เหร่ ผมไม่ต้องหมองหม่นไปตลอดชีวิตหรือครับ” นิรัติศัยครวญ หน้างหงิกงอ เขาไม่เคยขัดใจมารดาสักเรื่อง ที่ผ่านมาแต่ละเรื่องที่นางหงส์บังคับ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ทว่าเรื่องนี้เขายอมไม่ได้ และไม่มีวันยอมด้วย “ไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่แต่งงาน วันนี้ผมต้องพูดกับม้าให้รู้เรื่อง”
“ลื้อก็รู้ว่าลื้อขัดใจแม่ลื้อไม่ได้” ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ “แม่ลื้อเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก อั๊วว่าน้ำกำลังเชี่ยวลื้อเอาตัวไปขวางก็มีแต่ตายกับตาย ไหลไปตามน้ำก่อนดีกว่า พอหาทางขึ้นฝั่งได้ค่อยคิดทำ”
เหลียงสงสารบุตรชาย แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากไปกว่าให้คำแนะนำ เพราะรู้ดีว่า เรื่องนี้ภรรยาไม่มีวันเปลี่ยนใจ
นิรัติศัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้นิสัยมารดาดีเช่นกันว่า เอาแต่ใจตัวเองมากแค่ไหน เรื่องที่ตัดสินใจทำลงไปแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ แม้ว่าคนรอบข้างจะไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ก็เช่นกัน นิรัติศัยอาจต้องทำตามคำแนะนำของบิดา เพราะเป็นวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ หากดื้อรั้นไม่ทำตาม การแตกหักระหว่างตนกับนางหงส์ต้องเกิดขึ้น แต่จะให้นิรัติศัยยอมรับการคลุมถุงชนเขาก็ทำใจไม่ได้
“แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะป๊า ทำไมม้าไม่บอก ไม่ปรึกษาผมก่อนว่า ผมยอมหรือเปล่า มัดมือชกกันอยู่เรื่อย”
“ลื้อพูดอย่างกับว่า ไม่รู้นิสัยแม่ลื้อ ถึงปรึกษาลื้อก่อน ลื้อก็ไม่มีวันได้ออกความคิดเห็น เพราะความคิดแม่ลื้อคือถูกต้องที่สุด ดีที่สุด ใครค้านไม่ได้”
เหลียงเจอมาด้วยตัวเอง เขาจึงรู้ว่า เรื่องที่ลูกชายคิดทำเป็นการเสียเวลาเปล่า
“ผมไม่อยากแต่ง แล้วผมก็จะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าด้วย สมัยนี้มันสมัยไหนแล้วครับ ไม่มีแล้วพวกคลุมถุงชนโบราณคร่ำครึ”
นิรัติศัยยืนกรานความตั้งใจเดิม เรื่องคู่ครอง เป็นเรื่องใหญ่ ต้องให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองไม่ใช่หรือ จะตัดสินใจถูกหรือผิดเขายอมรับผลที่ตามมา แต่ถ้าให้มารดาตัดสินใจ ชีวิตคู่ของเขามีแต่พังกับพัง
“เอาอย่างนี้ไหม ลื้อไปเจอว่าที่เจ้าสาวก่อนดีกว่า เผื่อถูกใจลื้อ ถ้าถูกใจเรื่องก็ง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่ถูกใจลื้อก็ตกลงกับว่าที่เจ้าสาวว่า แต่งงานตามใจผู้ใหญ่ แล้วค่อยเลิกกันทีหลัง แม่ลื้อไม่ได้บอกนี่ว่า แต่งแล้วห้ามเลิก ป๊าเชื่อว่า ว่าที่เจ้าสาวของลื้อก็อาจจะรู้สึกอย่างลื้อก็ได้ ลื้ออย่าคิดว่ามันมีแต่ทางตันสิ ทุกอย่างมันมีทางออกเสมอ”
“ผมคงไม่ถูกใจเธอง่ายๆ เหมือนป๊าพูดหรอกครับ ถ้าเธอหน้าตาดีจริง สวยเลิศเลอประหนึ่งนางฟ้า เธอคงไม่ต้องมาแต่งงานกับผม คงหาผัวด้วยตัวเองได้” นิรัติศัยปรามาสว่าที่เจ้าสาว
“ป๊าว่า รอให้เห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวก่อนดีไหมแล้วค่อยพูด บางทีถ้าลื้อเห็น อาจจะเปลี่ยนคำพูดและเปลี่ยนใจก็ได้”
“ป๊าพูดอย่างกับว่าเคยเห็นหน้าเธอมาก่อน เธอเป็นใครครับ แล้วม้านึกยังไงให้ผมแต่งงานกับเธอ”
เป็นอีกเรื่องที่นิรัติศัยสงสัย ปกติเรื่องผู้หญิง นางหงส์จะไม่เข้ามาก้าวก่าย นางให้อิสระกับเขาเรื่องนี้เต็มที่ ไม่เคยถาม ไม่เคยเร่งรัดให้เขารีบหาเมีย เคยบอกด้วยซ้ำไปว่า เจอคนที่ใช่เมื่อไหร่ค่อยตบแต่ง นิรัติศัยจึงทำตัวลอยชายมาจนถึงทุกวันนี้
“เธอชื่อนัน เป็นลูกของเพ็ญแข ลูกหนี้ของแม่ลื้อ แม่ลื้อเกิดไปถูกชะตากับนันเข้า ก็เลยให้แต่งงานกับลื้อแลกกับหนี้สินที่ค้างไว้”
เหลียงบอกเท่าที่ตัวเองรู้ นิรัติศัยรู้เหตุผลแล้วหัวเราะฮึในลำคอ ส่ายหัวเบาๆ เขาไม่คิดเลยว่า ชีวิตของตนจะคล้ายกับละคร นึกแล้วก็อดขำไม่ได้
“แหม เหมือนในละครเป๊ะเลย แต่งงานเพราะหนี้สิน”
“เอาน่า ทำตามที่ป๊าบอกน่ะดีที่สุดแล้ว ไหลตามน้ำไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ป๊าไม่อยากให้ม้าความดันขึ้น ช่วงนี้ยิ่งขึ้นบ่อยๆ ด้วย กลัวจะช็อคตาย ถือว่าทำเพื่อม้าก็แล้วกันนะ” เหลียงพูดโน้มน้าวบุตรชายที่มีท่าทางอ่อนลง
“ผมอยากรู้ประวัติของเธอ ป๊าพอจะมีรายละเอียดให้ผมไหมครับ”
“ลื้อจะแอบไปตกลงกับหนูนันล่ะสิ”
“ก็ไม่เชิงครับ” นิรัติศัยแบ่งรับแบ่งสู้
“หนูนันเป็นลูกสาวของเพ็ญแข เธออยู่ที่...” เหลียงบอกประวัติคร่าวๆ ของว่าที่ลูกสะใภ้ให้บุตรชายฟัง นิรัติศัยแค่ฟังคงไม่พอ เขาขอให้บิดาเขียนชื่อที่อยู่ของว่าที่เจ้าสาวให้ด้วย ซึ่งเหลียงได้ทำตามที่ลูกชายต้องการ “จะทำอะไรนึกถึงม้าบ้างนะ อย่าทำให้ม้าเสียใจและผิดหวัง ม้าตั้งใจเรื่องงานแต่งงานของลื้อมากนะอาตี๋”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีนัดเอ็กซ์กับกันต์ไว้” นิรัติศัยไม่ตอบรับหรือปฎิเสธ เขาพนมมือไหว้บิดา ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน แบกสีหน้าหนักใจไปด้วย
“ป๊าขอโทษนะตี๋ที่ช่วยลื้อไม่ได้” เหลียงพูดเบาๆ ขณะมองตามร่างบุตรชายที่เดินพ้นประตูบ้านอย่างรู้สึกผิด