บท
ตั้งค่า

ตอนที่3 โรคระบาด

ซิ่วอิงพาทุกคนเดินสำรวจบ้านเรือน ที่ถูกเผาจนไม่เหลือซาก บางจุดยังคงมีควันไฟหลงเหลืออยู่ ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วข้ามคืน เด็กทั้งห้าคนยืนไว้อาลัยให้พวกเขาที่จากไป ก่อนซิ่วอิงจะเอ่ยขึ้น

“พวกเราต้องเข้าไปในเมือง ไปแจ้งทางการว่าหมู่บ้านของเรา ถูกคนร้ายบุกมาฆ่า แล้วเผาจนไม่เหลือซาก แต่พวกเรารอดมาได้เพราะหลบซ่อนตัว” ซิ่วอิงคิดว่าคงต้องรีบไปแจ้งทางการ แล้วไปติดต่อหาช่างมาทำบ้าน ก่อนฤดูหนาวจะมาเยือน

“และข้าคิดว่า จะไปหาช่างมาทำบ้านด้วย”

“แต่ว่าซิ่วอิงเจ้ามีเงินเหรอ?” ลี่อินถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ข้าพอมีอยู่บ้าง ก่อนแม่ข้าจะออกไปสู้กับคนร้าย ได้มอบไว้ให้ข้า”

“จริงเหรอ ดีจริง ๆ” เจียวจูเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ

“สิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าอีกครั้ง พลังของพวกเราห้ามบอกใคร หากต้องปกป้องตนเอง ก็ให้ใช้แบบธรรมดาที่สุด เรื่องครอบครัวของพวกเราถูกฆ่า เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลย เพราะฉะนั้นพวกเราห้ามไว้ใจใครเด็ดขาด”

“เข้าใจแล้ว” พวกเข้าพยักรับปากอย่างแข็งขัน ก่อนจะพากันออกเดินทางด้วยเท้าอย่างมุ่งมั่น และเชื่อฟังสิ่งที่ซิ่วอิงบอกเป็นอย่างดี เพราะนางในยามนี้แม้จะมีอายุเท่ากันกับพวกเขา แต่กลับมีไอพลังความเป็นผู้นำอยู่รอบ ๆ ตัวนาง ทำให้พวกเข้ารู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ อย่างน่าประหลาดใจ

เส้นทางที่ออกจากหมู่บ้าน ยามนี้ไร้ผู้คนเดินผ่านอย่างน่าแปลกใจ เพลิงไหม้ในหมู่บ้านไม่มีใครสังเกตเห็นเลยหรืออย่างไร เรื่องนี้แปลกเกินไปแล้ว ราว ๆ หนึ่งชั่วยามต่อมา พวกนางจึงเห็นถนนเส้นหลัก ที่แต่ละหมู่บ้านใช้เดินทางไปในเมือง ถนนเส้นนี้มีผู้คนสัญจรไปมาอยู่บ้าง ซิ่งอิงจึงหยุดถามชายที่ขับเกวียนคันหนึ่ง

“ท่านลุงเมื่อคืนเกิดไฟไหม้ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ท่านได้ยินข่าวหรือไม่?” ชายวัยกลางคนที่เห็นเด็กทั้งห้าคน มายืนโบกมือให้เขาหยุด แล้วถามเขาถึงข่าวหมู่บ้านไฉ่หลิน เขาถึงกับมองเด็กทั้งห้าคนอย่างพิจารณา อย่าบอกนะว่าเด็กห้าคนนี้มาจากหมู่บ้านไฉ่หลิน ไม่ได้! เขาต้องรีบออกห่างพวกเขาเอาไว้

ทางการประกาศว่า หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นโรคระบาดที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น อีกทั้งสามารถเผยแพร่และติดต่อผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ทางการจึงจำเป็นต้องฆ่าทุกคน และทำลายโรคระบาดให้หมดไป ด้วยการเผาศพพร้อมทั้งหมู่บ้านไปพร้อมกัน

ราษฎรเมืองเยี่ยนฟาง พอได้เห็นป้ายที่ทางการมาติดประกาศ ก็เกิดความหวาดกลัวถึงโรคระบาดเป็นอย่างมาก จึงเห็นดีเห็นงาม กับการที่ทางการจะฆ่าทุกคน และเผาเรือนทั้งหมู่บ้าน เพราะไม่อยากให้โรคระบาดแพร่มาถึงตน จนลืมคิดไปว่าชีวิตใคร ใครก็รักเช่นเดียวกัน

“พวกเจ้ามาจากหมู่บ้านไฉ่หลินหรือไม่ ถ้าใช่ก็อยู่ให้ห่าง ๆ จากข้า แล้วนี่พวกเจ้ารอดมาได้อย่างไร ทางการบอกว่าต้องฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด เพราะหมู่บ้านไฉ่หลินเกิดโรคระบาด” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะรีบหวดแส้ลงบนหลังวัว บังคับเกวียนจากไปอย่างรวดเร็ว เด็กทั้งห้าคนหันมามองหน้าอย่างงุนงง โรคระบาดอย่างนั้นหรือ?

“ซิ่วอิงหมู่บ้านเรามีโรคระบาดตั้งแต่เมื่อใด?” ลี่อินเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ซิ่วอิงเริ่มครุ่นคิดท่าทางเรื่องราวที่เกิดขึ้น คงเป็นแผนการของทางการอย่างแน่นอน แต่ว่าเพราะอะไรกันนะ ถึงต้องฆ่าทุกคนจนหมดหมู่บ้าน แล้วอ้างว่าเป็นการกำจัดโรคระบาด จิตใจช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

“เรื่องนี้ข้าคิดว่าเป็นแผนของทางการ ไม่รู้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลัง เป็นมาอย่างไร หากทางการต้องการกำจัดทุกคน หากว่าพวกเราเปิดเผยตัวตน ไม่แน่ว่าอาจถูกทางการกำจัดไปด้วย ข้าคิดว่านี่คงเป็นสาเหตุ ที่สวรรค์มอบพลังให้กับพวกเราไว้ป้องกันตัว”

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี?”

“นั่นนะสิ หากทางการรู้ว่าพวกเรายังมีชีวิตอยู่ คงต้องส่งคนมาจัดการพวกเราแน่”

“ซิ่วอิงข้ากลัว” เจียวจูเอ่ยเสียงสั่น เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา

ซิ่วอิงกวาดตามองสหายวัยเยาว์อย่างใช้ความคิด เห็นทีต้องให้พวกเขาเร่งฝึกฝนวรยุทธ ให้แข็งแกร่งโดยไว ไม่เช่นนั้นก็ยากจะรับมือ กับสิ่งที่นางเองก็ไม่รู้ว่า เหตุผลที่แท้จริง ที่พวกเขาต้องการฆ่าทุกคนคืออะไร โลกใบนี้ช่างโหดร้ายเสียจริง ซิ่วอิงถอนใจออกมาอย่างหนักใจ

“พวกเราต้องหาที่สงบเงียบอยู่สักพัก แล้วเร่งฝึกฝนวรยุทธให้เก่งและชำนาญโดยเร็ว พวกเราจะหลบซ่อนตลอดไปไม่ได้ วันใดหากต้องเปิดเผยตัว ต้องแน่ใจว่าพวกเราแข็งแกร่งและพร้อมต่อสู้ ถึงแม้ว่าพวกเรายังเด็ก แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราทำได้แน่นอน” ซิ่วอิงอธิบายให้พวกเขาได้เข้าใจ

“แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันละ?” เจียวจูเอ่ยถามขึ้น

“เข้าในเมืองกันเถอะ หากใครถามห้ามบอกว่ามาจากหมู่บ้านไฉ่หลิน พวกเราต้องหาเช่าบ้านอยู่ไปก่อนชั่วคราว”

“เอาตามที่เจ้าว่า” ลี่อิง เจียวจู ตงฮวน หานเกอ ตอบตกลงตามที่ซิ่วอิงเอ่ย เพราะยามนางนี้นางเป็นหัวหน้าควรเชื่อฟังนางดีที่สุด

พวกเขาทั้งห้าคนเดินไปตามถนนไปเรื่อย ๆ จวบจนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินมาถึงจุดพักม้า ที่นักเดินทางมักหยุดพักม้าให้ดื่มน้ำกินหญ้า และพักนั่งหาอะไรกิน เพราะจุดพักม้ามีเพิงขายอาหารและน้ำชาด้วย ขบวนเกวียนสินค้าต่าง ๆ ก็มาหยุดพักที่นี่ด้วยเช่นกัน

ซิ่วอิงกวาดตามองไปโดยรอบ ก่อนจะหันมามองสภาพพวกเขาและตัวนางเอง ยามนี้เนื้อตัวมอมแมมสกปรก ไม่ต่างอะไรกับขอทาน นางใช้มือจับไปที่กล่องโบราณ ที่นางใช้ผ้าพัน แล้วผูกติดไว้กับตัว นางต้องการไปซื้อซาลาเปา เพราะทุกคนยังไม่ได้กินอะไรกันเลย คงจะหิวกันมาก

ระหว่างที่นางพาพวกเขามานั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาของนางก็เหลือบไปเห็น ชายหญิงวัยกลางคน คงจะเป็นสามีภรรยากัน นั่งพิงต้นไม้อย่างอ่อนล้า คงจะเดินทางมาไกล และดูท่าทางคงไม่มีเงินไปซื้ออาหาร เพราะร่างกายดูผายผอมเป็นอย่างมาก

จู่ ๆ นางก็เกิดความคิดขึ้นมา ก่อนจะนั่งลงแล้วปลดผ้าที่ผูกติดกับตัว เด็กทั้งสี่คนมองการกระทำของนางไม่วางตา ซิ่วอิงหยิบตั๋วเงินออกมา เป็นใบละ10ตำลึงออกมา2ใบ ก่อนจะใช้ผ้าผูกกล่องกลับไปไว้กับตัวเช่นเดิม ก่อนนางจะเดินไปหาพวกเขาสองคน

“ท่านป้า ท่านลุง ข้ามีนามว่าซิ่วอิง ข้าต้องการความช่วยเหลือสักเล็กน้อย จะได้หรือไม่เจ้าคะ?”

ฮุ่ยกวงและหวังฟาง หันมามองดรุณีน้อยวัยเยาว์ด้วยใบหน้าที่แสนอ่อนล้า นางมาขอความช่วยเหลือ อย่าบอกนะว่าจะมาขอเงิน

“แม่นางน้อยข้าไม่มีเงินหรอกนะ เจ้าดูสภาพข้าสองคนผัวเมียเสียก่อน เจ้าไปขอคนอื่นเถิด” ซิ่วอิงก้มมองสภาพตนเองก่อนจะหัวเราะออกมา

“ท่านลุงท่านป้า ข้าไม่ได้มาขอเงิน ข้าจะเอาเงินมาให้ท่านต่างหากเล่าเจ้าคะ แต่ว่าท่านลุงต้องช่วยข้า ไปซื้อซาลาเปาให้ข้าได้หรือไม่?” ฮุ่ยกวงมองซิ่วอิงอย่างพิจารณา ก่อนจะพยักหน้า แต่ก็นึกแปลกใจว่า นางมีเงินเหตุใดไม่ไปซื้อด้วยตนเอง

“เอาสิบห้าลูก เผื่อท่านทั้งสองคนด้วยแล้วก็น้ำดื่มเจ้าค่ะ สิบตำลึงพอหรือไม่เจ้าคะ?”

“น่าจะพอ เดี๋ยวข้ากลับมา” ฮุ่ยกวงลุกเดินจากไป ซิ่วอิงจึงทรุดตัวนั่งลงข้างหวังฟาง และเริ่มพูดคุยเพื่อสร้างความสนิทสนมให้มากขึ้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel