ตอนที่4 พี่ชายต่างสายเลือด
หลังจากที่ไป๋หนิง ออกจากโรงพยาบาล เดินทางกลับมาพักที่บ้าน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าบ้านของลู่ชิงถึงสองเท่า ทั้งยังมีห้องโถงขนาดใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ครบครัน เครื่องอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย
จนทำให้ลู่ชิงถึงกับตกตะลึงในคราแรกที่เห็น พอขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เพียงแค่ผลักประตูเข้าไป เธอถึงกับอ้าปากค้าง “อะไรเนี่ย”
“หนิงหนิงบอกเองนี่นา ว่าอย่าให้ใครขึ้นมาชั้นสอง สภาพเลยเป็นแบบนี้” กระทั่งอี้เหอยังไม่กล้าขึ้นมาโดยพลการ หากไป๋หนิงไม่อนุญาต พื้นที่ชั้นสองคือเขตหวงห้าม
“รกมาก เสื้อผ้าวางเกะกะไปหมด บนพื้นยังมีแล้วในห้องน้ำล่ะ” เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย ห้องยังไม่รกรุงรังขนาดนี้เลย แม่นางร้ายคนนี้เสื้อผ้ากองอยู่บนพื้น เตียงนอนมีแต่เครื่องสำอาง กระจกบนใหญ่มีฝุ่นหนาเกาะ พอเปิดประตูห้องน้ำ ถึงได้ยิ้มออก “โชคดีที่ห้องน้ำสะอาด ไม่อย่างนั้นงานหนักทีเดียว”
“มันก็รกแค่นี้ แม่บ้านก็เข้ามาทำให้ แต่เธอต่างหากล่ะ ที่บอกว่าห้ามใครขึ้นมา ขนาดพี่ยังไม่กล้าเลย พรุ่งนี้มีงานอีกนะ เข้ากองแต่เช้า หวังว่าคงจะพร้อมนะ แล้วก็อ่านบทด้วยล่ะ” อี้เหอพูดจบ ล้วงมือเข้ากระเป๋าสะพายใบใหญ่ นำกระดาษปึกหนาออกมาให้นักแสดงสาว
ซึ่งไป๋หนิงรับบทเป็นนางร้ายในละครพีเรียดย้อนยุค อีกทั้งพรุ่งนี้เป็นบทยากต้องขึ้นสลิงห้อยโหน ไม่รู้ว่าจะกระทบกระเทือนอาการบาดเจ็บภายในหรือไม่
อี้เหอล้วนเป็นกังวลไม่น้อย สีหน้าของพี่สาวคนสวยย่อมมีความห่วงใยในตัวไป๋หนิงอยู่แล้ว “พรุ่งนี้ก็อย่าลืมพกยาติดตัวไปด้วย ผู้กำกับหลี่เลื่อนบทของเธอออกไปหลายฉากแล้ว พรุ่งนี้แสดงให้เต็มที่”
“ค่ะ” ลู่ชิงพยักหน้าหงึกหงัก รับกระดาษปึกหนามา รู้สึกถอดใจตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม พรุ่งนี้จะเป็นหมาหรือแมวกันแน่ เธอก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียง กลัดกลุ้มใจจนยากจะอธิบายให้ใครต่อใครรับรู้
นาทีนี้รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนผันราวกับพลิกฝ่ามือ เพียงแค่ส่องดูใบหน้าในกระจก ก็ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ ปรากฏออกมาแม้แต่น้อย นั่งอย่างอ่อนแรงอยู่บนเตียง สีหน้าและแววตากลับดูทุกข์ทรมานเสียเหลือเกิน
เธอถึงขั้นถอนหายใจอย่างอ่อนแรงอีกครา หงายหลังลงบนเตียง แต่ก็เหลือบไปเห็นบรรดาเครื่องสำอางทั้งหลาย วางเกะกะ ช่างรกหูรกตาเสียเหลือ
ด้วยเพราะเธอเลี้ยงลูกคนเดียว เช่นนั้นสิ่งของในบ้าน ล้วนต้องจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบและมิดชิด ไม่อย่างนั้นเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น อาจหยิบฉกฉวยเข้าปากโดยที่คนเป็นแม่ไม่รู้
และอาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เช่นนั้นลู่ชิงจึงเป็นคนมีระเบียบ แต่ไม่มีแบบแผนสักนิด อีกทั้งไม่คาดคิดว่า การหย่าร้างครั้งนั้น นำพาเธอกำเนิดเจ้าตัวเล็กที่แสนน่ารักน่าชัง ของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
ทว่าเวลานี้ลูกสาวแสนน่ารักน่าชังตอนนี้กำลังถูกว่าที่แม่เลี้ยงกลั่นแกล้งรังแก เช่นนั้นแล้ว หญิงสาวจึงกระเด้งตัวลุกพรวดขึ้นจากเตียงนอน ผลัดเปลี่ยนชุดเป็นแบบเรียบง่าย สวมแว่นตาและหมวกอำพรางใบหน้า
แล้วก็ไม่ลืมคว้ากระเป๋าใบหนึ่ง ข้างในมีโทรศัพท์และเงินสดอยู่สามพันหยวน ซึ่งเงินจำนี้ก็มากพอให้เธอว่าจ้างรถแท็กซี่สักคันไปยังบ้านหลังนั้น บ้านที่เธอไม่คิดอยากจะไปเหยียบ
หากไม่ใช่เพราะลู่อ้ายอยู่ที่นั่น ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินลงมากำลังปิดประตูหน้าบ้าน กลับเจอใครบางคนยืนอยู่ เธอแปลกใจจึงเอ่ยถาม “คุณเป็นใครคะ” ผู้ชายคนนี้จ้องมองไม่หยุดหย่อน ซ้ำยังชักสีหน้าเหมือนไม่พอใจอีกต่างหาก ลู่ชิงทำใจดีสู้เสือ “คือว่า...คุณเป็นใคร แล้วมีธุระอะไรกับฉันหรือคะ”
“ตลกจริง ๆ นะเรานะ ป่วยจนเข้าโรงพยาบาล ออกก็ไม่ยอมบอกพี่ ต้องให้พี่ขับรถมาถึงที่นี่ คิดว่าพี่ว่างนักใช่ไหมยัยเด็กดื้อ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ละม้ายคล้ายคลึงพระเอกหล่อซีรีส์คนหนึ่ง
เขาเดินทางมาด้วยรถส่วนตัวคันใหญ่หรูหรา เพื่อมาพบน้องสาวต่างมารดา เธอคือลูกสาวของแม่เลี้ยงเขานั่นเอง แต่เด็กสาวคนนี้ มีจิตใจอันแข็งกระด้าง มักกระด้างกระเดื่องต่อมารดาเสมอ
กระนั้นพบว่าตนเองมีน้องสาวแม้จะต่างมารดา เป็นลูกติดแม่เลี้ยง ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ ไม่เคยตั้งตัวอคติกับแม่เลี้ยงและน้องสาว ทว่าเธอกลับมีนิสัยร้ายกาจ พูดจาขวานผ่าซาก
และยัง ไม่ยินยอมพักอยู่ที่คฤหาสน์ด้วย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กสาวคนนี้ไม่เคยขอเงินทางบ้านสักหยวน ส่วนเขานะหรือย่อมเป็นห่วงเธอ แต่กลับถูกเมินเฉยมาตลอด หนนี้ประสบอุบัติเหตุพอรู้ข่าว พี่ชายก็รีบเดินทางมาทันที จึงต่อว่าต่อขานเบา ๆ ไม่อยากให้ไป๋หนิงแง่งอนใส่เช่นเคย
“ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ ฉันกระทบกระเทือนทางสมอง จำใครไม่ได้จริง ๆ” ลู่ชิงหน้าถอดสี ไม่รู้จริง ๆ ว่าชายคนนี้คือใครกันแน่ หากจะให้เธอย่อมพอเดาได้แค่อายุราว ๆ สามสิบต้น ๆ แต่เขาคือใครกัน เธอเองก็อยากรู้ “ว่าแต่คุณเป็นใครคะ”
จู่ ๆ กำปั้นหนาทุบลงบนศีรษะของเธออย่างเบามือ “ยัยเด็กบ้า ฉันคือพี่ชายของเธอไง สงสัยคงต้องพาเธอแอ็ดมิทอีกครั้ง ตรวจเช็กให้ละเอียดถี่ถ้วน คุณน้าจะได้สบายใจ”
“คุณน้า...ใครกันคะ” ลู่ชิงยิ่งมึนงงไปอีก อยากพบลูกสาวแทบขาดใจ แต่ก็ต้องสนทนากับชายแปลกหน้า ยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ยอมไปไหน ซ้ำยังชักสีหน้าหงุดหงิดอยู่ร่ำไป เธอแทบจะหลั่งน้ำตาวิงวอนให้เขาหลีกทางก็ว่าได้
“เหอะ ขนาดแม่ตัวเองแท้ ๆ ยังจำไม่ได้ พี่ว่าคงต้องพาเธอไปเช็กสมองจริง ๆ ก็คราวนี้แหละ” ชายหนุ่มฉุดน้องสาวให้ขึ้นรถคันโตหรูหรา แต่ดูเหมือนแม่น้องสาวตั้งท่าไม่ยินยอมตามมา แม้จะฉุดดึงแขนแต่มือของเธอยังจับขอบประตูเอาไว้แน่น
“ปล่อยฉันนะ ถ้าคุณเป็นพี่ชายของฉันจริง ๆ ละก็ เอาหลักฐานมายืนยันสิคะ” จู่ ๆ ก็จะมาลากขึ้นรถ เธอก็ไม่สมองเลอะเลือนถึงขั้นที่จะไปไหนกับใครต่อใครโดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน จึงพยายามจับที่ประตูเอาไว้ จะร้องให้คนช่วยก็ดูเหมือนว่า บ้านหลังนี้ห่างไกลจากบ้านผู้คนเสียจริง ๆ
“ยัยเด็กคนนี้นี่ พูดไม่รู้เรื่อง เอาดูซะให้เต็มตา” ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นโทรศัพท์ เปิดรูปภาพที่เขาแอบถ่ายน้องสาวเอาไว้
แล้วยังมีภาพถ่ายกับผู้หญิงวัยกลางคน คนหนึ่งสีหน้ายิ้มแย้มที่นั่งอิงแอบแนบชิดกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “คนนี้คือแม่ของฉันหรือคะ”
“ยัยบ๊อง” ผู้เป็นพี่ชายอยากนำพาเจ้าของร่างเล็กตรงหน้า ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกสักที ทำไมน้องสาวคนนี้ถึงจดจำอะไรไม่ได้เลย แววตาผันเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น “ถ้าคุณน้ารู้คงเสียใจมากแน่ ๆ ไปกับพี่ขึ้นรถ”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ดึงแขนของสาวน้อย พลางเอื้อมือดึงประตูรถยนต์เปิดให้ไป๋หนิง เขาเองตระหนักถึงข้อกังขาต่าง ๆ นาน ๆ ในแวววงสังคม หากมีภาพเขาและเธอปรากฏบนสื่อต่าง ๆ ย่อมต้องสร้างชื่อเสียให้มากกว่าชื่อเสียงเป็นแน่
ถึงกระนั้นชายหนุ่มผู้มาชื่อว่า เซียวอวี้เฉิง ก็พยายามจับน้องสาวต่างสายเลือดขึ้นรถยนต์ที่ขับมารับเธอถึงหน้าบ้าน แต่ดูเหมือนว่าแม่น้องสาวตัวดีจะมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่มากโข “เร็วสิขึ้นรถ พี่จะพาเธอไปตรวจอีกรอบ สงสัยคงต้องนอนพักยาว”
“ไม่ได้นะคะ พรุ่งนี้ฉันมีงาน” ลู่ชิงยังไม่ยินยอมขึ้นรถยนต์สีดำคันโต เธอไม่มั่นใจนักว่า หากไปกับชายแปลกหน้าคนนี้แล้ว จะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือไม่ ที่สำคัญคือแก้วตาดวงใจของเธอถูกผู้หญิงใจร้ายคนนั้นรังแก เรื่องนี้ย่อมปล่อยผ่านไม่ได้
“พี่จะยกเลิกมันให้หมด” ชายหนุ่มขึ้นเสียงดัง เห็นได้ชัดว่ายังมีนิสัยดังเดิมไม่เปลี่ยน คือดื้อรั้น และเป็นคนรักษาคำสัญญา “เงินยกเลิกค่าสัญญาจะสักกี่แสนหยวน ขนหน้าแข้งพี่ไม่ร่วงหรอก ขึ้นรถ”
“จะดีเหรอคะ”