ตอนที่3 ผู้จัดการอี้
ไป๋หนิงหรือลู่ชิงรีบลุกพรวดลงจากเตียงนอน ในจังหวะนั้นผู้จัดการอี้ก็เปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นว่าไป๋หนิงดึงเข็มออก “หนิงหนิงทำอะไรน่ะ” ผู้จัดการคนดังรีบวางผลไม้และกระเป๋าอาภรณ์ทันที เดินจ้ำพรวด ๆ เข้ามา จับแขนทั้งสองข้างของคนป่วยที่ดูเหมือนไร้สติอยู่กับเนื้อกับตัว
“ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปหาเสี่ยวอ้าย” ลู่ชิงลืมตัว ด้วยเพราะใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกทรมานใจเหลือเกินที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกสาว ปวดใจจนแทบจะทำให้ขาดใจได้อีกครั้ง
“หยุดนะหนิงหนิง เธอเป็นอะไรกันแน่ เสี่ยวอ้ายเป็นใคร บอกมานะ” อี้เหอเขย่าตัวของเด็กสาวในสังกัดตนเอง นับตั้งแต่ที่ได้มาเป็นผู้จัดการของไป๋หนิง ก็ไม่เคยได้ยินคนชื่อเสี่ยวอ้ายจากปากของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
“พี่อี้ ฉัน...” เธอจะสวมรอยเป็นไป๋หนิง แต่กลับไม่รู้ว่า ผู้หญิงตรงหน้า เป็นคนนิสัยใจคออย่างไร จะบอกความจริงไปว่า เธอคือลู่ชิง ส่วนไป๋หนิงได้ตายไปแล้ว ใครเขาจะเชื่อ ต่างก็ต้องบอกว่าเธอนั้นสติฟั่นเฟือนเสียแล้ว
“หนิงหนิงใจเย็นหน่อย มีอะไรก็นั่งลงคุยกันนะ เธอจะออกไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้” อี้เหอรั้งแขน เห็นถึงความเปลี่ยนไปของไป๋หนิง ทุกครั้งที่พบปัญหาที่ยากลำบาก ไม่มีครั้งไหนหุนหันพลันแล่น นอกจากพ่อพระเอกคนนั้นแอบคบซ้อนกับนักแสดงรุ่นน้อง
“แต่ว่าพี่อี้” ลู่ชิงอยากร้องไห้เหลือเกิน คิดถึงลูกสาวแทบขาดใจ แล้วยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ หัวอกคนเป็นแม่ก็แทบแตกสลายเป็นผุยผง คราวนี้อยู่ในร่างของนักแสดง จะแสดงตัวตนว่าเป็นแม่ของลู่อ้ายใครเขาจะเชื่อ เธอหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี เงยหน้ามองใบหน้าแสดงความห่วงใยจากผู้จัดการนามว่าอี้เหอ
“ไม่มีแต่ หนิงหนิงพอจะบอกได้ไหม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีเรื่องอะไรให้เธอร้อนใจอย่างนั้นหรือ” อี้เหอเลื่อนมือลูบเส้นผมที่สละสลวยของหญิงสาว เสยเส้นผมที่คลุมบาดแผลบริเวณหน้าผากให้มองเห็นได้ชัด
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ไป๋หนิงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่วนตัว เป็นเธอที่ไม่ได้ไปด้วย เพราะมีงานด่วนเข้ามากะทันหัน ไม่คิดไม่ฝันว่า นักแสดงสาวคนนี้จะหุนหันออกไปพบกับหลัวจิ่น จึงเกิดเรื่องร้ายขึ้น
แต่ก็นับว่าสวรรค์ยังเมตตา มอบไป๋หนิงกลับคืนมาในที่สุด หลังนอนโคม่าอยู่เกือบหนึ่งวัน สุดท้ายปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น สร้างความดีอกดีใจต่อเธอและเหล่าคนที่รักเธอมาก ไม่รวมถึงคนชั่วหลัวจิ่นนั่น
แต่คราวนี้ มีเรื่องอะไรทุกข์ร้อนกัน ถึงทำให้หนิงหนิงของเธอ ดูร้อนรนจนนั่งเก้าอี้ไม่ติด แววตาทอประกายแห่งความเศร้า หม่นหมอง บางครั้งพอเหลือบมอง กลับเห็นความกลัดกลุ้มอยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของไป๋หนิง
“ฉัน...ฉันจำอะไรไม่ได้เลย พี่อี้คะ ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ใช่ไป๋หนิง พี่จะเชื่อฉันไหม” คำถามนี้เธอย่อมต้องการคำตอบจากอี้เหอมากที่สุด แต่แล้วผู้จัดการคนสวยกลับระบายยิ้มอ่อน ยังลูบเส้นผมของเธอ แววตาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนนัก
“หนิงหนิง จะเป็นไปได้ยังไง เธอคิดว่าพี่เลอะเลือนหรือไง บอกมามีเรื่องอะไรกันแน่ พี่พร้อมจะช่วยเหลือเธอ แต่มีข้อแม้ พรุ่งนี้ต้องเข้าฉากที่ค้างเอาไว้” อี้เหอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “รู้ไหมว่าพวกเราต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงินเท่าไรกัน ตอนนี้หายดีแล้ว ก็ต้องเร่งทำงาน ไม่อย่างนั้นได้จบเห่แน่ ๆ”
พอสิ้นเสียงของอี้เหอ ไป๋หนิงตาลุกวาว “อะไรนะคะ พรุ่งนี้ต้องทำงาน” ให้ตายสิ เธอจะทำได้ยังไง ไม่เคยเรียน ไม่เคยทำงานเกี่ยวกับละครมาก่อน เจ้าของร่างนี้ก็ไม่ใช่ของเธอเสียด้วย ลู่ชิงได้แต่พร่ำเพ้อรำพึงรำพันอยู่ในใจ แววตามองไปยังผู้จัดการที่คลี่ยิ้มมอบให้
“เอาล่ะ เราคุยเรื่องงานจบแล้ว เรามาคุยเรื่องของเพื่อนเธอเป็นไง บอกมาสิ ต้องการให้พี่ช่วยอะไรบ้าง” หากไม่ช่วยเหลือเกรงว่าจะทำอะไรบุ่มบ่าม เกิดเรื่องขึ้นมาอีกครั้งก็คงไม่ดีนัก
“คือฉันอยากพบลู่อ้ายนะคะ เธอคือลูกสาวของเพื่อน จะว่าเพื่อนก็ไม่แน่ใจนัก” ลู่ชิงยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ได้แต่ส่งสายตาวิงวอนแกมขอร้อง พร้อมกับเลื่อนมือทั้งสองสองไปกุมมือของพี่อี้เหอเอาไว้ “พี่อี้ช่วยฉันด้วยนะคะ ฉันไม่รู้จะพึ่งพาใครแล้วจริง ๆ”
“ถ้าหายดีแล้ว พี่ว่าพวกเราควรทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลดีกว่านะ มีอะไรค่อยกลับไปพูดกันที่บ้าน ส่วนเรื่องเด็กคนนั้น พี่จะเป็นธุระจัดการให้ ว่าแต่บ้านแม่หนูน้อยอยู่ไหนล่ะ”
“ลู่อ้ายเป็นลูกสาวของประธานจ้าว พี่อี้รู้จักไหมคะ” ไป๋หนิงส่งสายตาวิงวอนไม่หยุดหย่อน แม้เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ไหน ๆ เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว จะพึ่งพาใครได้นอกจากพี่สาวคนนี้กัน ลู่ชิงจึงแสดงความสนิทสนมกับอีกฝ่าย เผื่อว่าพี่อี้เหอจะได้เห็นอกเห็นใจเธอมากขึ้น
“ท่านประธานจ้าวจอมหยิ่ง ใครจะไม่รู้จัก ละครที่เธอกำลังแสดง ก็เป็นเขานั่นแหละเป็นนายทุนจัดสร้างน่ะ” ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน ทำไมไป๋หนิงไม่รู้เรื่องนี้กันนะ ทั้ง ๆ ที่ท่านประธานจ้าวก็ออกจะมาเยี่ยมกองบ่อยครั้ง แต่ทำไมไป๋หนิงกลับมีท่าทีไม่รู้มาก่อน
“หะ...ทำไมโลกกลมแบบนี้” ลู่ชิงอุทานเสียงดัง เห็นทีว่าต้องตีสนิทกับอดีตสามี เพื่อพบลูกสาว เธอเป็นคนนอกจะเทียวไปหาลู่อ้าย ก็คงจะแปลกประหลาดไม่น้อย ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น มิน่าเล่าแม่คู่หมั้นถึงได้วี๊ดว๊าดใส่ ก็เพราะคู่หมั้นหนุ่มของเธอมาเยี่ยมที่กองละครบ่อย
“จะกลมหรือไม่กลม ลู่อ้ายก็เป็นลูกสาวของเขา ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงกัน”
“จะให้เล่าก็คงเรื่องยาวละคะ ว่าแต่เราทำเรื่องออกวันนี้ได้ไหมคะ ฉันสบายดีแล้ว ไม่เจ็บตรงไหนสักนิด”
“หลัวจิ่นพูดอะไรกับเธอบ้าง” อี้เหอลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยังช่อดอกไม้ช่อใหญ่ หยิบขึ้นมา กวาดสายตามองข้อความเล็ก ๆ ที่แนบมาในกระดาษ ในนี้เขียนว่า ที่รักผมผิดไปแล้ว
เธอแค่นหัวเราะเบา ๆ มิให้ไป๋หนิงรู้ ทันทีที่วางช่อดอกไม้ลง เหลือบมองไปยังข้าวของที่วางบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นึกชื่นชมพยาบาลพิเศษ ที่ทำงานได้ดีนัก จึงสอบถามขึ้นอีกครั้งว่า “ผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์ไม่เบา เป็นถึงพระเอกแต่กลับตกหลุมรักนางร้ายอย่างเธอ”
“ก็แค่คำขอโทษ ตามประสาคนผิดนะคะ” ลู่ชิงเดาสถานการณ์ สีหน้าค่อนข้างมีความกังวลสูง ช้อนสายตามองไปยังที่พี่อี้เหอ เห็นสนอกสนใจข้าวของที่วางบนโต๊ะ
เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วยังเสริมขึ้นอีกนิด “ที่จริงแล้ว ฉันไม่อยากทำให้เขารู้สึกผิด แต่ถ้าฉันกับเขากำลังคบกันจริง ๆ ละก็ คงไม่ดีแน่ ๆ พี่อี้เหอคะ ฉันไม่อยากมีใครในตอนนี้ พี่พอจะช่วยฉันได้ไหมคะ”
“ได้สิ แต่แรกพี่ก็ไม่เห็นด้วย ที่เธอเลือกคบกับคนเสเพลอย่างนั้น” อี้เหอยิ้มแป้นอย่างดีใจเหลือเกิน ในที่สุดแม่นางร้ายของเธอก็กลายเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ไม่ดื้อรั้นเอาแต่ใจอีกแล้ว “เอาละ คอยพี่อยู่นี่นะ พี่จะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล พวกเราจะได้กลับบ้านกันสักที”