บทที่ 6 ข้ากำลังจะออกเรือน
สิบปีต่อมา
เฉินฟางหรงเด็กสาวในวัยสิบห้าปี ที่พึ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อวาน เท้าคางมองบรรดาแม่สื่อที่เข้าออกจวนของนางไม่ขาดสาย พวกนางต่างถูกส่งมาจากตระกูลใหญ่ ที่ต้องการเกี่ยวดองกับครอบครัวของท่านกุนซือชื่อดัง
“ซูลี่ อีกนานไหมกว่าท่านพ่อจะกลับ”
“ท่านพ่อบ้านแจ้งว่า นายท่านไปเมืองหลวงครั้งนี้ กินเวลานานเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้ก็ยังเป็นเช่นในอดีต พิธีปักปิ่นของนางไม่มีท่านพ่ออยู่ร่วมงานด้วยซ้ำ ส่วนจางหมิ่งและเจียอี้ก็ต้องติดตามท่านพ่อไปเช่นกัน เวลาช่างผ่านไปเร็วยิ่งนัก
“ท่านอาจารย์มีงานเร่งด่วนเจ้าก็รู้...”
“พี่หยาง”
รอยยิ้มปรากฏบนหน้าของฟางหรงทันที ตงหยางในวัยสิบแปดยิ้มออกมาเช่นกัน เขารีบกลับมาจากการสอดแนมเพื่อที่จะมาได้พบนาง ตลอดสิบปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้น ความใส่ใจที่มีให้กันเริ่มทำให้ความรักก่อตัว จากที่เคยอยากตอบแทนบุญคุณกลายเป็นรักปักใจ จากที่เคยแค่สงสารเพราะเห็นน้ำตาก็กลายเป็นอยากดูแลเอาใจใส่
“ไหนว่าจะกลับพร้อมท่านพ่อไง”
“ข้าล่วงหน้ามาก่อน ท่านอาจารย์น่าจะถึงในไม่ช้า ที่ต้องมาก่อนเพราะมีสิ่งที่ต้องทำ แล้วก็อยากนำสิ่งนี้มาให้เจ้าด้วย”
ตงหยางหยิบปิ่นไม้ที่เขาตั้งใจแกะสลักออกมาให้ฟางหรง
“ข้าในตอนนี้ยังไม่มีเงินมากพอ แต่ข้าสัญญาว่าหากได้เป็นรองแม่ทัพแล้วข้าจะซื้อของที่เจ้าชอบเยอะ ๆ เลย ปิ่นไหนที่เจ้าอยากได้ข้าจะหามาให้”
“แต่ข้ากลับชอบปิ่นไม้ที่ท่านตั้งใจทำที่สุด”
ฟางหรงยิ้มออกมา ก่อนจะหยิบปิ่นไม้ไปปักบนผมทันที
“ซูลี่เป็นเช่นไร เข้ากับข้าหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
ซูลี่มองปิ่นไม้ก่อนจะมองตงหยางด้วยแววตาตำหนิ เหตุใดจึงเอาของไม่ได้เรื่องเช่นนี้มาให้คุณหนูของนาง อย่างน้อยควรควักเงินซื้อสักนิดหรือไม่ หากทำปิ่นไม่เป็นจะดึงดันทำไปใย ปิ่นไม้อะไรนั่นไม่ต่างจากกิ่งไม้มาปักบนผมหรอกหรือ
“ขอบคุณนะเจ้าคะ พี่หยาง”
ตงหยางยิ้มออกมาเช่นกัน เขามองไปที่แม่สื่อที่วิ่งเขาออกหน้าประตูจวน ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“เหตุใดแม่สื่อถึงเยอะเช่นนี้”
“หากท่านพ่อกลับมา ก็คงจะหายกันไปเอง ข้าเองก็อยู่ในวัยออกเรือนแล้ว”
“เจ้าพูดเช่นนี้ มิใช่อยากให้ข้าส่งแม่สื่อมาหรือ”
“ท่านพี่หยาง ข้าเองก็รอแม่สื่อของท่านอยู่นะเจ้าคะ”
“รอข้านะ พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปเยี่ยมท่านแม่และจะส่งแม่สื่อมา”
“เจ้าค่ะ ข้าจะรอ”
ซูลี่มองทั้งสองที่หยอกล้อกันไปมา ก่อนจะส่ายหัวออกมา หากคนผู้นี้มาสู่ขอคุณหนู นายท่านและคุณชายทั้งสองไม่มีทางยอมเป็นแน่ ทำไมคุณหนูไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นแก้วตาดวงใจของทั้งสามขนาดไหน
บ้านตงหยาง
“ท่านแม่ข้าพอใจสตรีผู้หนึ่ง ท่านส่งแม่สื่อไปให้ได้ได้ไหม....”
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมแต่งสักที บอกแม่มาเถิดลูกสาวบ้านไหนข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
หญิงชราพูดออกมาด้วยความดีใจ หลายปีมานี้นางหาหญิงสาวให้บุตรชายแต่เขาเอาแต่ปฏิเสธ เห็นทีวันนี้เขาคงพบหญิงที่พึงใจแล้วเป็นแน่
“ข้าจะแต่ง คุณหนูเฉินฟางหรง”
“...........”
ทันทีที่ได้ฟังความเงียบก็ปกคลุมทันที หญิงชรามือสั่นเทามองบุตรชายน้ำตาคลอ เพราะนางรู้ดีว่าคุณหนูผู้นี้เป็นใคร นางจับมือของลูกชายก่อนจะลูบที่หลังมือเป็นการปลอบประโลม
“ตงหยาง คุณหนูผู้นี้ไม่อาจแต่งได้ นางเป็นบุตรสาวของผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าไม่อาจพานางมาลำบากได้”
“..........”
“ตัดใจจากนางเสียเถิด”
“ไม่หากข้าพยายาม ข้าจะได้เป็นรองแม่ทัพ ถึงตอนนั้น ถึงตอนนั้น”
ตงหยางมองมารดาของตัวเองผ่านม่านน้ำตา ส่วนมารดาเองก็กำมือแน่น ได้แต่โทษตัวเองที่มีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้ นางเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้บุตรชาย
“ตงหยางแม้เจ้าจะเป็นรองแม่ทัพ แต่ฐานะของเจ้าก็ยังต่ำกว่านาง นางในตอนนี้เป็นที่หมายปองมากมาย เชื่อแม่เถิดหากเจ้ารักนาง ปล่อยนางให้ครองคู่กับคนที่สมควรเถิด”
ตงหยางไม่ได้พูดอะไร แม้ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเขารู้ดีว่าตัวเองต่ำต้อยเพียงใด เขาแค่เพียงปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่นานหากเป็นรองแม่ทัพ เขาจะทำให้นางมีหญิงที่มีความสุขที่สุด แต่ใจในลึกลึกเขารู้ดี ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ยิ่งเห็นยามนางอยู่ข้างจางหมิ่งหรือเจียอี้ ช่างดูเหมาะสมจนเขาเองรู้สึกละอาย ความรู้สึกของเขาตลอดสิบปีมันควรจบจริง ๆ หรือ หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าไม่ควรใจอ่อนต่อน้ำตาของเจ้าเลย....
หลายวันต่อมา
“คุณหนูข้าว่าเปลี่ยนชุดอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ”
ซูลี่สาวพูดขึ้นนางมองฟางหรงในวัยสิบห้าปี ที่พึ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อไม่นาน ในชุดสีดำสนิทมีเพียงปิ่นไม้ชิ้นเดียวเท่านั้นที่ประดับอยู่บนหัว ก่อนจะมองไปที่ชุดในตู้มากมายที่มีเพียงสีดำเท่านั้น เอาเถอะไม่ว่าชุดใดก็มีแต่สีนี้เท่านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คุณหนูของนางชื่นชอบใส่ชุดสีดำเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะอยู่กับเจ้าตงหยางคนไร้มารยาทนั่นเกินไปหรอกหรือ
“ไปเถอะซูลี่ วันนี้เป็นวันสำคัญ ข้าต้องหาของขวัญสักหน่อย”
ซูลี่มองคุณหนูของนางที่วิ่งออกไปก่อนจะถอนหายใจออกมา เห้อวันสำคัญมิใช่ว่าวันที่เจ้าคนไร้มารยาทนั่นจะกลับมาหรอกหรือ...
“ข้ามาแล้ว”
“ข้าผิดหวังนะที่เห็นเจ้า แต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้ แบบนี้บุรุษใดจะมาสู่ขอ” จางหมิ่ง
“สตรีมิควรวิ่งไปมา ควรเดินอย่างสง่างาม โดยเฉพาะเจ้าสตรีที่ผ่านพิธีปักปิ่นแล้ว” เจียอี้
“ลูกของข้าไม่ว่าจะแต่งเช่นใดก็งดงาม ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอหรอ หึ แม่สื่อมาเต็มบ้านนะสิไม่ว่า แต่หรงหรง ลูกจะไม่ให้พ่อตามไปด้วยจริง ๆ หรือ” เทียนอี้
ฟางหรงมองทั้งสาม ก่อนจะยิ้มออกมา นางเดินไปแทรกกลางระหว่างจางหมิ่งและเจียอี้ก่อนจะจับมือทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อ ข้ามีของที่ต้องให้พวกเขาช่วยเลือก ท่านเองก็มีงานเยอะข้าไม่รบกวนดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น”
เทียนอี้มองทั้งสามที่เดินออกจากจวนไป รอยยิ้มที่เคยมีก็เลือนหาย เขาปรายตามองไปที่พ่อบ้าน
“นายท่านข้าได้ส่งคนไปคุ้มกันคุณหนูแล้ว”
“นับว่าเจ้า ยังรู้ความลูกของข้านางจิตใจดี หากมีคนหวังใช้นางเพื่อผลประโยชน์ก็ฆ่าทิ้งได้เลย”
“เช่นนั้นแล้ว หากฝ่าบาท....”
“เขาจะว่าอะไรได้ เจ้านั้นรู้ดีว่าตำแหน่งฮ่องเต้หากข้าอยากได้ก็คงเป็นของข้านานแล้ว”
เทียนอี้พูดขึ้น ในตอนนี้สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นจริงทั้งสิ้น ไม่ว่าอำนาจการทหารหรือแม้กระทั่งเงินทอง เป็นเขาที่สนับสนุน เดิมทีขุนนางคิดการใหญ่ดันให้เขาก่อกบฏและขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่เขาเลือกที่จะเมินเฉย เป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร งานราชการบริหารบ้านเมืองที่ปวดหัวเช่นนั้น ข้าจะแย่งมาเพื่ออะไร สู้อยู่มองบุตรสาวของเขาเติบโตเช่นนี้ดีกว่า....
ตลาดกลางเมือง
“พวกเจ้าว่ากระบี่เล่มนี้ดีหรือไม่”
จางหมิ่งและเจียอี้ขมวดคิ้วกอดอกมองเด็กสาวตรงหน้า ที่เลือกกระบี่อย่างตั้งใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางเลือกให้ผู้ใด เหอะ ตงหยางเจ้าช่างโชคดีนักเพียงช่วยชีวิตนางแค่ครั้งเดียวถึงกับตอบแทนไปตลอดชีวิตเช่นนี้
“เจ้าโง่นั่นไม่จำเป็นต้องใช้หรอก”
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร หากไม่ใช่เพราะว่ามีคนขโมยกระบี่ที่ท่านพ่อข้าให้เขาไป เขาคงมีกระบี่ที่ดีกว่านี้ ต้องให้ข้าบอกท่านพ่อหรือไม่ว่าผู้ใดสั่ง”
ฟางหรงพูดออกมา เมื่อหลายปีก่อนนางได้ไปรู้โดยบังเอิญว่า ตงหยางโดนกลั่นแกล้ง แม้แต่ที่นอนหรืออาหารก็ไม่ได้รับของที่ดี และตัวการที่สั่งก็คือเจ้าสองคนที่ยืนอยู่ตรงนี้
“ใครใช้ให้เจ้าใส่ใจมันมากกว่าพวกข้า”
“ข้าอธิบายไปแล้วไงว่าเขาคือผู้มีพระคุณ”
ฟางหรงพูดออกมา แม้ในใจนางตอนนี้รู้ดีว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมามันมีความรู้สึกอื่นเพิ่มเข้ามา และตอนนี้นางกำลังจะตัดสินใจจะบอกสองคนตรงหน้าดีหรือไม่ว่านางกำลังจะแต่งงาน
“จางหมิ่งเจ้าก็ช่วงนางเลือกเถิด สตรีมายืนในร้านเช่นนี้ไม่สมควรนัก”
“เห้อ กระบี่ที่เจ้าเลือกไม่เหมาะกับเจ้าโง่นั่นหรอก เจ้าโง่นั่นแม้จะไม่เก่งเท่าข้า แต่ก็พอมีฝีมือ เอาอันนี้สิ”
“ถ้าเจ้าว่าดีข้าก็เชื่อเจ้า ไปเถอะถ้าเสร็จจากนี่ข้าเลี้ยงข้าวเอง”
เห็นแก่ที่พวกเขาช่วยนางมาตลอด นางจะใจดีสักครั้งหาสตรีที่เหมาะสมให้แล้วกัน หลังจากที่นางนอนคิดมาหลายปีเกี่ยวกับซีซี นางก็ตระหนักได้ว่า หญิงละโมบเช่นนั้นมิควรมาเป็นภรรยาของสหายของนางเลยสักนิด เป็นไปได้หากนางหาสตรีที่พวกเขาถูกใจได้ ชะตากรรมที่แตกหักครั้งนี้คงข้ามผ่านไปได้
ฟางหรงเดินนำพวกเขามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในอดีตนางจำได้ว่าอาหารที่นี่อร่อยและที่สำคัญเป็นแหล่งที่รวมสตรีมากมาย ถึงเวลาตอบแทนพวกเจ้าแล้ว
“หรงหรง เจ้ามั่นใจหรือว่าจะกินที่นี่”
จางหมิ่งพูดขึ้นเขามองไปรอบ ๆ มีเพียงสตรีที่นั่งดื่มชาพูดคุย ฟางหรงไม่ได้ตอบอะไร นางเดินนำขึ้นไปชั้นบนก่อนจะเลือกโต๊ะที่มองมาด้านล่างได้ทั่ว สตรีที่นั่งอยู่เองก็ต่างมองที่จางหมิ่งและเจียอี้
“เจ้าสองคนเองก็ยิ้มให้พวกนางสักหน่อยสิ”
“เหอะ เจ้ารีบสั่งอาหารไปเถอะ”
ฟางหรงหัวเราะออกมา ก่อนจะสั่งอาหารตามที่นางจำได้ว่าพวกเขาเคยชอบในอดีต ระหว่างรออาหารฟางหรงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะมาหยุดที่ชายทั้งสองตรงหน้า นางเท้าคางก่อนมองสำรวจใบหน้าของสหายของตน พวกเขาช่างโตเร็วยิ่งนักตอนนี้ว่าหล่อเหลาแล้ว อีกสักห้าปีพวกเขาจะเติบโตและเป็นบุรุษที่สตรีทั่วเมืองหลวงหมายปอง จางหมิ่งเองจะได้เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ ส่วนเจียอี้เองจะได้เป็นกุนซือข้างกาย ถึงตอนนั้นซีซีก็จะปรากฏตัว.....
“ใบหน้าข้ามองพอใจหรือไม่เล่า หรงหรง”
จางหมิ่งพูดออกมา ก่อนจะดีดไปที่หน้าผากของฟางหรงเบา ๆ เจียอี้ที่เห็นเช่นนั้นทำเพียงส่ายหัว เพราะเห็นภาพเช่นนี้จนเคยชิน
“จางหมิ่ง เจียอี้ ข้าถามได้หรือไม่ พวกเจ้าชอบสตรีแบบไหน”
ฟางหรงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม นางยังคงเท้าคางมองพวกเขา จางหมิ่งและเจียอี้มองไปที่ฟางหรงนิ่ง ความเงียบกลับมาปกคลุมไปทั้งโต๊ะ พวกเขาหยิบน้ำชามาดื่มเพื่อเลี่ยงที่จะตอบ แต่มีหรือฟางหรงจะยอม
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านบอกน้องเล็กมาเถิดว่าชอบสตรีเช่นไร”
ชายหนุ่มทั้งสองมองหญิงสาวตรงหน้าที่ทำท่าทางออดอ้อน มือของพวกเขาถูกนางแตะเบา ๆ เหมือนจงใจ
“ผมดำ ผิวขาว มีกิ่งไม้บนหัว” จางหมิ่ง
“ข้าชอบสตรีที่คัดคัมภีร์มารยาทหญิงได้ร้อยจบ” เจียอี้
“เหอะ ๆ พวกเจ้าล้อเล่นอยู่ใช่ไหม สตรีที่มีกิ่งไม้บนหัว?? คัดคัมภีร์มารยาทหญิงได้ร้อยจบ?? ข้าจะหาคนแบบนั้นได้จากไหนกัน ขอมากกว่านี้ได้ไหม”
“ชื่นชอบการแต่งชุดสีดำ” จางหมิ่ง/เจียอี้
ชายทั้งสองมองหน้ากัน เมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงผู้ใด ต่างจากฟางหรงที่ไม่รู้อะไรเลย นางทำเพียงขมวดคิ้ว พลางคิดว่า แบบนี้ไม่ถือว่าเขาทั้งสองชอบสตรีนิสัยและการแต่งกายเหมือนกันงั้นหรือ ถ้างั้น...
“พวกเจ้าคงไม่ได้ชื่นชอบสตรีคนเดียวกันใช่ไหม....”