บทที่ 7 คำอวยพรจากสหาย
“พวกเจ้าคงไม่ได้ชื่นชอบสตรีคนเดียวกันใช่หรือไม่”
“............”
“ไม่ได้นะ ห้ามพวกเจ้าชอบสตรีคนเดียวกัน”
“ทำไม/ทำไม”
ฟางหรงถอนหายใจออกมา ก่อนมองทั้งสองด้วยแววตาจริงจัง
“สตรีที่รักบุรุษถึงสองคนมิใช่คนดีหรอก หากชอบนางจริง ๆ ให้นางเลือกได้หรือไม่.....”
“หมายความว่า???”
“ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าทะเลาะกันเพื่อแย่งสตรีใดก็ตาม”
“...........”
“แล้วถ้าหากพวกข้าอยากครอบครองนางทั้งคู่เล่าหรงหรง”
“ถึงตอนนั้นให้ก็ให้นางได้เลือกเถิดว่าจะอยู่กับพวกเจ้าทั้งสอง หรือจะเลือกแค่คนใดคนหนึ่ง หากนางเลือกที่จะเห็นพวกเจ้าแย่งชิงกันเพื่อนาง สัญญากับข้าว่าจะถอยออกมา...”
“........”
“........”
จางหมิ่งและเจียอี้ไม่ได้ตอบอะไร พวกเขาต่างมองไปที่ฟางหรงด้วยแววตาที่สับสน พลางคิดในใจว่า หรงหรงข้าไม่อาจสัญญาได้ ถึงตอนนั้นหากเจ้าเลือกข้าจะยอมถอยออกมาได้เช่นไร.......
“เอาเถิด หากไม่สัญญาก็เก็บคำพูดข้าไปคิดก็ได้”
“หรงหรงของเราโตแล้ว”
ฟางหรงทำเพียงฝืนยิ้มออกมา พลางคิดว่าเรื่องในอดีตจะเกิดซ้ำรอยเดิมอีกหรือไม่ นางมองอาหารที่กำลังถูกวางบนโต๊ะ ก่อนจะคิดถึงตงหยางที่มักทานข้าวและพูดคุยกับนางตลอดหลายปี เรื่องความสัมพันธ์ของนางและตงหยาง คงถึงเวลาที่จะต้องบอกแล้ว อย่างน้อยก็อยากฟังคำยินดีก่อนพวกเขาจะจากไป อีกไม่นานแล้วที่การเรียนกับท่านพ่อจะสิ้นสุดลง.....
“หรงหรง จริงวันนี้พวกข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
“ข้าเองก็มีเรื่องจะบอกพวกเจ้า”
“เจ้าบอกก่อนเถอะ เรื่องขอพวกข้าไม่ได้สำคัญมาก”
เจียอี้พูดขึ้นก่อนจะคีบอาหารให้ฟางหรงด้วยรอยยิ้ม ฟางหรงหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไป
“ตงหยางกำลังส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้า”
เพล๊ง!!
ตะเกียบที่อยู่ในมือของชายทั้งสองร่วงลงบนจานจนเกิดเสียงดัง ฟางหรงที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มจาง ๆ ออกไปเดิมทีก็ทำใจไว้แล้ว แต่พอมาเจอเช่นนี้ คุณหนูเช่นข้าทำตัวไม่ถูกจริง ๆ
“กล้าดียัง เจ้าตงหยางนั่น มันใช้อะไรล่อลวงเจ้า”
“จางหมิ่ง เจ้าใจเย็น ๆ ไหนบอกข้ามา เจ้ากับไอ้โง่นั่นไปชอบพอกันตอนไหน”
เจียอี้กัดฟันพูดออกมา ฟางหรงเองที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แต่ยังคงฝืนยิ้มออกมา
“จางหมิ่ง เจียอี้ ข้าและพี่หยางรักกันจริง ๆ อีกไม่นานพี่หยางจะส่งแม่สื่อมา ที่ข้าบอกพวกเจ้าเพราะ อยากได้คำอวยพรจากสหาย”
“เหอะ สหาย” เจียอี้
“ใครอยากเป็นสหายของเจ้ากัน” จางหมิ่ง
ฟางหรงที่ได้ยินเช่นนั้น เม้มปากแน่น
“ฟางหรง อยากได้คำอวยพรจากพี่ชายทั้งสอง”
“...........”
“...........”
จางหมิ่งที่ได้ฟัง แทบอยากเข้าไปเขย่าตัวคนตรงหน้า ว่าเขานั้นเลิกที่จะอยากเป็นพี่ชายของนางนานแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ด้านเจียอี้เขาทำเพียงฝืนยิ้มออกมา แม้จะเอาแต่คิดว่าจริง ๆ มันผิดพลาดตรงไหนกันแน่ เดิมหลังจากกลับจวนก็จะให้ท่านแม่ส่งแม่สื่อมา เหตุใดจึงผิดพลาดเช่นนี้
“ข้ารักพี่หยางจริง ๆ นะ พวกเจ้าจะยินดีกับข้าใช่ไหม”
ฟางหรงพูดออกมาน้ำตาคลอ จางหมิ่งและเจียอี้ที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา ทั้งสองพยายามสงบอารมณ์โกรธของตัวเอง มองนางในดวงใจที่เอาแต่เฝ้าบอกให้พวกเขาอวยพร นางมองพวกเขาผ่านม่านน้ำตา จางหมิ่งเงยหน้าฝืนให้ตัวเองไม่ร้องไห้ออกมา
“ตงหยางผู้นี้ คุ้มค่าให้เจ้ามาเสียน้ำตาต่อหน้าพวกข้างั้นหรือ” จางหมิ่ง
“หากเจ้าโง่นั้นทำให้เจ้าเจ็บปวด หากมันดูแลเจ้าไม่ได้” เจียอี้
“ข้ายินดีรับ ชะตานั้นเพราะข้าเลือกเอง”
เจียอี้พยักหน้าก่อนจะหลับตาลง มือทั้งสองของเขากำแน่น ก่อนจะลุกขึ้น
“เช่นนั้นก็ดี ข้าก็ขอให้เจ้ามีความสุข อาหารมื้อนี้ไม่อร่อยแล้ว ข้าขอตัว”
ฟางหรงมองเจียอี้ที่วางเงินลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามองฟางหรงที่เรียกเขาอย่างที่เคย เจียอี้ในตอนนี้เขาแทบพังทลายจนกลับไปมองหน้านางในตอนนี้ไม่ได้แล้ว.....
“จะ...จางหมิ่ง....”
“ข้า.....ข้าจะไปส่งเจ้า..”
จางหมิ่นจับมือของฟางหรงก่อนจะพาเดินออกมาจากร้าน ตลอดทางที่ออกมาจากร้านจนถึงนั่งรถม้า ทั้งสองไม่ได้คุยกันเลย มีเพียงจางหมิ่งที่ยังคงจับมือของฟางหรงไว้แน่น
“ข้ากับเจียอี้จะไปวันนี้”
“ทำไมถึง....”
“นี่คือเรื่องที่จะบอกเจ้าในร้านอาหาร แต่ไม่ต้องห่วง หากยังไม่ตายจากสนามรบข้ากับเจียอี้จะมางานแต่งเจ้าแน่”
“เข้าใจแล้ว”
ฟางหรงยิ้มออกมา เพราะนางรู้ดีว่าพวกเขาจะไม่ตายและกลายเป็นวีระบุรุษ จางหมิ่งมองฟางหรงที่ยิ้มมาทางเขาน้ำตาที่ฝืนมาก็ไหลออกมา เขาดึงหญิงสาวตรงหน้าเขามากอดแน่น
“จางหมิ่ง...จะ..เจ้าจะทำอะไร”
“หรงหรง เหตุใดไม่ใช่ข้า....”
“จะ...จางหมิ่ง..เจ้าเป็นอะไร”
“.........”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีก จางหมิ่งยังคงกระชับอ้อมกอดแน่น
“คุณหนูถึงจวนแล้วขอรับ”
จางหมิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็เช็ดน้ำตาของตัวเอง ก่อนจะคลายอ้อมกอด เขาฝืนยิ้มออก มองหน้าสตรีที่เขารักปักใจมาตลอดหลายปี
“หรงหรงของเราโตแล้ว พี่ใหญ่เช่นข้าขอให้เจ้ามีความสุข....”
“จางหมิ่ง”
“เจ้าไปเถิดข้ามีนัดกับเจียอี้อีกที่”
ฟางหรงพยักหน้า นางมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะเดินออกไป จางหมิ่งที่เห็นฟางหรงเดินลงไปแล้ว ก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าของฟางหรงที่เขาเก็บไว้มาหลายปีออกมา
“ข้าช่างโง่งม”