บทที่ 4 ตอบแทนบุญคุณ
“จางหมิ่ง ชนะ”
เสียงประกาศก้องไปทั่วลานประลอง ฟางหรงเองก็นั่งเท้าคางมองไปที่ลานประลอง ที่ตอนนี้มีเด็กชายชุดสีน้ำเงินยืนอยู่ พร้อมกับเด็กชายชุดขาวที่ถูกหามออกจากลานประลองไป
“เจ้าไม่ดีใจหรือที่จางหมิงชนะ”
เจียอี้ที่พึ่งมา เอ่ยขึ้น ก่อนเขาจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ฟางหรง
“ไม่ใช่ไม่ดีใจ แต่เขาชนะมาเกือบยี่สิบครั้ง ข้ามองเขาชนะจนเบื่อแล้ว”
“หรงหรงของเราเป็นเด็กขี้เบื่อหรือ พี่ชายจะจำไว้”
“แล้วเจ้าไม่ไปร่วมประลองหรือไง”
“ไม่ล่ะ ความสามารถของข้ามิใช่ฝ่ายบู๊เช่นนี้ ลงแข่งไปก็มีแต่เจ็บตัว”
“อ๋อ”
ฟางหรงตอบออกไปแบบไม่ใส่ใจเธอมองเด็กชายชุดดำที่เดินขึ้นมาบนเวที แขนข้างขวาของเขามีผ้าสีขาวบาง ๆ ผูกไว้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้าของเธอทันที
“คู่ต่อไป ตงหยางกับอาเหยา”
ชายชุดสีน้ำเงินเดินขึ้นมาบนเวที ทั้งสองคำนับกัน ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น ฟางหรงเองก็นั่งตัวตรงมองไปที่ลานประลองด้วยความสนใจ เจียอี้ที่เห็นเช่นนั้นก็อดแซวไม่ได้
“จางหมิ่งเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้คงเสียใจเป็นแน่”
“จางหมิ่งไม่ได้ใจแคบเช่นเจ้า”
“เหอะ หรงหรงข้าว่าเจ้ายังรู้จักจางหมิ่งน้อยเกินไป”
ฟางหรงไม่ได้ตอบเธอเพียงมองการประลองไม่วางตา เมื่อเห็นว่าตงหยางเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฟางหรงก็ยืนขึ้นบนเก้าอี้อย่างลืมตัว
“ตงหยาง เจ้าต้องชนะให้ได้นะ!!!!”
และใช่ฟางหรงเผลอตะโกนออกไปอย่างลืมตัว ตงหยางเองที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มขึ้นมา คุณหนูผู้นี้ช่างแสดงได้แนบเนียนยิ่ง แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครั้งนี้ข้าจะไม่มีทางแพ้
ตุบ!!
เด็กชายชุดสีน้ำเงินถูกพลักออกจากวงกลม ฟางหรงที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ตงหยาง ชนะ”
ตงหยางมองไปที่เด็กหญิงวัยห้าขวบที่ส่งยิ้มมาทางเขา รอยยิ้มนั่นข้าเกือบจะเชื่อว่านางดีใจกับข้าจริง ๆ ตงหยางเดินลงจากลานประลองไป ฟางหรงเองเมื่อได้สติก็กลับลงมานั่งที่เก้าอี้เช่นเดิม
“หรงหรง ดูเจ้าอยากให้เขาชนะ”
“ท่านพ่อ ข้าแค่....”
เทียนอี้ยิ้มออกมาก่อนจะลูบหัวเด็กน้อยตรงหน้า นานแล้วที่ไม่ได้เห็นนางร่าเริงเช่นนี้ เทียนอี้มองลูกศิษย์ทั้งสิบคนของตนที่ยืนอยู่ที่ลานประลอง มองปรายตาไปมองตงหยางที่ใส่ชุดสีดำยืนทำความเคารพเขาอยู่ เศษผ้าสีขาวที่พันอยู่ทีข้อมือ ทำให้เทียนอี้ยิ้มออกมา จะเป็นเช่นไร หากจางหมิ่งรู้ว่าเจ้านำผ้าที่ขอมาจากวัดด้วยความลำบากไปให้ผู้อื่น
“ศิษย์คารวะอาจารย์”
“ลุกขึ้น ต่อไปพวกเจ้าทั้งสิบคนย้ายมาอยู่ด้านหลังจวนหลัก รายละเอียดที่เหลือจะมีคนไปแจ้ง”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
เทียนอี้พูดจบก็อุ้มฟางหรงขึ้นมา ก่อนจะปรายตามองศิษย์ของตนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง
“กฎสำคัญข้อเดียว คือห้ามไปเรือนฝั่งตะวันออกแม้แต่ก้าวเดียว หากข้าเห็น ขับไล่ออกจากจวนทันที”
“รับคำอาจารย์”
ฟางหรงที่ได้ยินก็กลอกตามองบนทันที ถึงท่านจะห้ามเช่นไร จางหมิ่งและเจียอี้ก็ลักลอบมาดื่มน้ำชาที่สวนกับนางอยู่ดี
“หรงหรงไปเถิดพ่อจะพาเจ้าไปเดินเล่น”
“เจ้าค่ะ”
เทียนอี้อุ้มบุตรสาวออกไปจากลานประลอง เด็กน้อยวัยแปดขวบต่างขึ้นมาแสดงความดีใจกับพรรคพวกของตนที่ได้เป็นศิษย์ที่ถูกเลือก มีเพียงตงหยางเท่านั้นที่เดินลงไปจากลานประลองเงียบ ๆ
“เจ้าหยุดก่อน”
เจียอี้ในชุดสีขาวเดินเข้ามาหาตงหยาง
“เจ้ามีอะไร”
“ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าได้ผ้าชิ้นนั้นมาจากไหน”
ตงหยางมองเจียอี้ที่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มของเขาทำให้ตงหยางเองรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
“คุณหนูฟางหรง นางผูกให้ข้า เจ้าไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม งั้นข้าขอตัว”
พูดจบตงหยางก็เดินออกไป รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนหน้าของเจียอี้ก็เลือนหายไปทันที เขามองตามแผ่นหลังของตงหยางที่เดินจากไป เหตุใดเขาจะไม่รู้ ที่ถามก็เพราะต้องการให้แน่ใจเท่านั้น
“เจ้ารู้จักหรือ” ???
“คนที่หรงหรงสนใจข้าย่อมต้องใส่ใจ”
จางหมิ่งที่ได้ฟังก็ยิ้มมุมปาก เขามองไปที่ ตงหยางเช่นกัน หรงหรงเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าจะปิดบังพวกข้าได้ เด็กเช่นเจ้าจะหลอกข้าได้เช่นไร เห็นทีตงหยางผู้นี้คงเอาไว้ไม่ได้
หลายวันต่อมา
“คุณหนูข้าว่า....”
ซูลี่สาวใช้คนสนิทมองคุณหนูของเธอ ถือจานขนมซุ้มอยู่ที่ข้างต้นไม้ สายตามองทอดไปยังเด็กชายวันแปดวัยที่ฝึกกระบี่อยู่คนเดียวที่สวนหลังจวน
“คุณหนูใกล้ถึงเวลาแล้วนะเจ้าคะ ถ้านายท่านกลับมาแล้วเรียกหา”
“ซูลี่ อีกแปบเดียว ข้าก็ถือขนมมาแล้วจะให้ถือกลับไปอย่างไร”
“แต่ว่า...”
ปัก!!!!
“ว๊ายยยย”
ฟางหรงร้องออกมาเสียงหลงเมื่อเห็นกระบี่ที่ปักอยู่ที่ต้นไม้ห่างจากหน้านางไม่ถึงคืบ
“ออกมา!!”
“ออกแล้ว ออกแล้ว”
ฟางหรงยืนขึ้น นางถือจานขนมเดินออกไปจากที่ซ้อนโดยมีซูลี่เดินตามออกมา ตงหยางที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที เขามองฟางหรงด้วยความไม่พอใจ นางอีกแล้ว คราวนี้จะมาสร้างปัญหาอะไรให้ข้าอีก
“ตงหยางจำข้าได้หรือไม่”
ฟางหรงยิ้มออกมาพร้อมกับชี้ที่หน้าของตัวเอง ตงหยางไม่ได้ตอบอะไรเขาทำเพียงเดินผ่านนางไปดึงกระบี่ออกจากต้นไม้
“จะ...จำไม่ได้สินะ ข้าฟางหรง..”
“ข้าจำได้ ท่านไม่ควรอยู่ที่นี่ออกไปเถอะ”
ตงหยางพูดออกมาเสียงเรียบ ก่อนจะเดินผ่านนางไปอีกครั้งเพื่อฝึกกระบี่ต่อ ฟางหรงที่เห็นเช่นนั้นก็เดินตามไปทันที
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไงบ้าง”
ตงหยางที่ได้ฟังก็กระตุกยิ้มออกมา เขากำกระบี่ในมือแน่น มองฟางหรงด้วยสายตาอาฆาต หลังจากที่ย้ายมาอยู่หลังจวนหลัก เขาก็เอาแต่ถูกกลั่นแกล้ง กระบี่ที่อาจารย์มอบให้ก็ถูกขโมยไป ส่วนที่นอนก็มีเพียงห้องเก็บฟืนที่มักจะมีงูพิษโผล่มายามดึก เขาต้องเอาแต่ระแวงจนบางคืนไม่ได้นอน ส่วนข้าวนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากอาหารหมู และสาเหตุที่โดนกลั่นแกล้งเช่นนี้ เป็นเพราะคนตรงหน้า ที่ดูเหมือนจะใส่ใจเขามากเกินไป
“ท่านกลับไปเถิด”
“จริงสิ ข้านำขนมมาให้เจ้าด้วยนะ ดูสิ”
ฟางหรงยกขนมที่อยู่ในมือขึ้นส่งให้ตงหยาง ตงหยางมองขนมที่อยู่บนจานนิ่ง ก่อนจะปัดจานขนมให้ตกลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี
“ในเมื่อหมดธุระแล้ว เชิญท่านกลับไป”
“........”
ตงหยางที่เห็นฟางหรงก้มหน้าเงียบไปก็ถอนหายใจออกมา แม้จะรู้สึกสงสารแต่นางคือตัวปัญหาสำหรับเขา ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางก็จะมาอีก เขาหันหลังก่อนจะเดินออกไป แต่แล้วหางตาก็เห็นมีคนยืนอยู่ ตงหยางเพียงคิดในใจว่า เป็นเช่นนี้ งูพิษคงเข้ามาในห้องเก็บฟืนหลายตัวเป็นแน่
ฟางหรงมองขนมที่ตกลงพื้น ด้วยอารมณ์หลากหลาย เดิมทีคิดว่าจะได้นั่งกินพูดคุยกับเขา เช่นพี่ชายหรือสหายคนหนึ่ง แต่พอเป็นเช่นนี้.....
“คุณหนูกลับกันเถิดเจ้าคะ”
“อืม”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ กลับไปข้าจะฟ้องนายท่านเรื่องเจ้าคนไร้มารยาทนั่น”
“อย่านะ ห้ามพูดเรื่องตงหยาง”
“เจ้าค่ะ”
ซูลี่มองคุณหนูของเธอที่เดินคอตกน่าเศร้ากลับไปที่จวน เจ้าคนไร้มารยาทนั่นหากเจอคราวหน้าข้าจะกัดเขาให้เลือดออกเลย
“ข้าขออยู่คนเดียว เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ฟางหรงนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะกลางสวน พลางคิดถึงตงหยาง เมื่อในอดีตถ้าจำไม่ผิดตงหยางเป็นศิษย์ที่ท่านพ่อไว้ใจรองมาจาก จางหมิ่งและเจียอี้ เขามักเป็นคนเงียบ ไม่พูด ทำให้นางในอดีตไม่ได้สนใจและมักกลั่นแกล้งเขาด้วยซ้ำ แต่ใครจะคิดว่าคนที่นางไม่ใส่ใจกลับมาช่วยนางและสัญญาว่าจะปกป้องนางไปตลอดชีวิต ในเมื่ออดีตเจ้าดีกับข้าถึงเพียงนี้ ข้าเองจะมาท้อเพียงเพราะเจ้าปัดจานขนมได้อย่างไร