บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 13 ตกรางวัล

เวยลี่ยืนมองดูรถม้าค่อยๆแล่นหายลับตาไป มือน้อยยังคงกำถุงเงินในมือแน่น หัวใจนางเต้นแรงด้วยความดีใจ ก่อนจะปิดประตูลงกลอนที่บ้านแล้ววิ่งไปหาซูฮวา

“ท่านแม่ ท่านลองทายดูสิว่าการขายแป้งย่างและเต้าหู้ครั้งนี้ได้เงินมาเท่าใด”

“แป้งย่างก็ 1 ตำลึงกับ 800 อีแปะหักมัดจำก็ได้ 1 ตำลึงกับ 200 อีแปะ ส่วนค่าเต้าหู้ก็ 90 อีแปะใช่หรือไม่”

“ท่านลองนับดู” เวยลี่ยื่นถุงเงินให้ซูฮวานับ

“5 ตำลึง!!!” ซูฮวาแทบจะกรีดร้องออกมา ดีที่ยังตั้งสติเอาไว้ได้ทัน

“ใต้เท้ามอบถุงเงินให้ข้า พอข้านำมาตรวจนับดูว่าเป็นเงินจำนวน 5 ตำลึง

ข้าจึงวิ่งตามท่านไปตั้งใจจะเอาเงินส่วนที่เกินไปคืน แต่ท่านกลับมอบถุงเงินให้อีกถุงบอกว่าเป็นค่าตะกร้าเจ้าค่ะ” เวยลี่อธิบายยิ้มๆ

“นับว่าเป็นวาสนาของพวกเรายิ่งนักที่ใต้เท้าท่านเมตตา”

“ท่านแม่ข้าจะให้ท่าน 2 ตำลึงอีก 1 ตำลึงหักเป็นต้นทุนถึงแม้จะลงทุนไม่ถึง 300 อีแปะก็ตาม ส่วนเงินที่เหลือข้าอยากสั่งทำเตาขนาดใหญ่ เตาอบและเครื่องโม่ขนาดใหญ่ อ้อ ข้าอยากทำห้องใต้ดินด้วยเจ้าค่ะ”

“ตามใจเจ้าเลย แม่เห็นด้วยเพราะอุปกรณ์ที่บ้านเราก็เก่ามากแล้วสั่งทำใหม่ทั้งหมดเลยก็ได้” ซูฮวายิ้มอย่างเข้าใจพลางมองเงิน 2 ตำลึงด้วยความตื้นตันใจ

“ขอบคุณท่านแม่แล้วจะสั่งทำของพวกนี้ได้ที่ไหน”

“วางใจได้เจ้าบอกขนาดหรือวาดรูปมาก็ได้ แม่จะเอาไปจ้างช่างปั้นและช่างตีเหล็กสำหรับทำหม้ออบให้ ส่วนเรื่องห้องใต้ดินเราคงต้องทำใหม่”

“ข้าอยากสร้างห้องเพิ่มสัก 3 ห้องท่านแม่เห็นว่าเป็นเช่นไรเจ้าคะ”

“แม่ว่าเราไล่ทำในสิ่งที่จำเป็นไปก่อน ตอนนี้ที่จำเป็นที่สุดก็คงจะไม่พ้นต้องเปลี่ยนหลังคาใหม่” ซูฮวาเงยหน้าขึ้นมองหลังคาแล้วถอนหายใจออกมา

“จริงด้วย ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรเลือกซื้อเตาและเปลี่ยนหลังคาใหม่ดีหรือไม่ท่านแม่”

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ โอ๊ย~” ซูฮวาเอามือกุมท้อง

“ท่านแม่ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ” เวยลี่รีบเดินเข้าไปดูซูฮวาด้วยความเป็นห่วง

“เอ่อ แม่ลืมไปว่ายังไม่มีอะไรตกลงท้องตั้งแต่เที่ยงตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบ 4 ชั่วยามแล้ว”

“ฮ่าๆๆ”พวกเด็กๆทั้ง 3 คนหัวเราะมารดาที่นานๆทีจะมีมุมนี้ให้พวกเขาเห็น

“มื้อนี้นำไส้ที่ข้าหมักมาทอดกระเทียมดีไหม”

“ดีเลย แม่จะไปหุงข้าวก่อน”ซูฮวาช่วยด้วยอีกแรง

ภายหลังจากนั้นไม่นานกลิ่นข้าวสุกก็ส่งกลิ่นหอมลอยออกมาจากหม้อ และกลิ่นหอมของไส้ทอดลอยไปไกลถึงบ้านข้างเคียง

กู้ซานเย่วได้แต่นอนสาปแช่งครอบครัวหลี่อยู่ภายในใจ นางเข้านอนเร็วเพื่อที่จะได้หลับไปเสียท้องจะได้ไม่หิวยามดึก

ไม่มีครอบครัวชาวบ้านที่ไหนกินข้าว 3 มื้ออย่างบ้าน หลี่หรอก พอขายแป้งย่างได้เงินก็ทำตัวสุรุ่ยสุร่าย

รอให้หลี่ซานกลับมานางจะฟ้องเขาว่าภรรยาและลูกสะใภ้ของเขากินเนื้อทุกมื้อเลย

พวกนางคงนำเงินที่หลี่ซานหามาอย่างยากลำบากมาผลาญเพื่อปรนเปรอตัวเองโดยไม่มีความละอายใจ

“ข้าอยากให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่มาอยู่ที่นี่ด้วยจัง ตอนนี้พวกเรามีข้าวมีเนื้อกินแล้ว ควรเรียกท่านพ่อและพี่ใหญ่กลับมาบ้านดีไหมท่านแม่” เจ้าเจียเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังช่วยเก็บล้างจานชาม

“เรื่องนั้น…” ซูฮวาเองก็อยากให้สามีและลูกชายกลับมาบ้านเช่นกัน

“พี่สะใภ้เองก็คงจะคิดถึงพี่ใหญ่เช่นกันใช่หรือไม่เจ้าคะ” อ้ายหนี่ถามนางเพื่อหาผู้สนับสนุน

“ข้าก็เห็นด้วยท่านแม่ บ้านเราเริ่มมีรายได้แล้วหากไม่มีบุรุษอยู่บ้านเลยก็จะเป็นอันตรายเอาได้” เวยลี่อยากพูดนานแล้วว่าอยากให้หลี่ซานและอี้หานกลับมา แต่ดูเหมือนว่าสามีนางจะไม่ได้คิดเช่นนั้น

“แม่จะลองไปคุยกับหัวหน้าลู่ดูว่าสามารถเขียนจดหมายฝากไปบอกพวกเขาได้ไหม”

“ทำงานสร้างกำแพงเมืองได้เงินวันละ 150 อีแปะดูมากก็จริง แต่ข้าขายแป้งย่างไม่กี่วันมานี้ได้เงินตั้ง 6 ตำลึงกว่าแล้วท่านแม่

หากอี้หานกลับมาก็ให้เขานำแป้งย่างไปขายในตัวอำเภอที่มีคนเยอะกว่าในหมู่บ้านหรือตำบลอีกเจ้าค่ะ”

“ถ้าไปตัวตำบลไม่ไกลสามารถเดินเท้าได้ แต่ตัวอำเภอเกรงว่าต้องจ่ายค่านั่งเกวียนหรือนั่งรถม้าไป”

พอเห็นว่าซูฮวาเริ่มคล้อยตามเวยลี่ก็มีกำลังใจมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าลึกๆแล้วซูฮวาก็เสียดายเงินที่จะได้จากการสร้างกำแพงเมืองอยู่พอสมควร

หากทำงานครบ 2 เดือนก็จะได้เงินมาคนละเกือบ 10 ตำลึง รวม 2 คนก็เกือบ 20 ตำลึง

“ท่านแม่การสร้างกำแพงเมืองอันตรายนะเจ้าคะ คราวที่แล้วมีเพื่อนร่วมงานของพี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะก้อนหินตกใส่ด้วย”

อ้ายหนี่พูดได้น่าฟังจนเวยลี่แอบยกนิ้วโป้งให้ ดูเหมือนว่านางต้องรีบทำเค้กให้อ้ายหนี่ตัวน้อยชิมเร็วขึ้นเสียแล้ว

“จริงด้วย แม่ลืมไปเสียสนิทเลยอ้ายหนี่”ซูฮวารู้สึกสะเทือนใจยามนึกถึงบุตรชายคนโต

นางแค่ลังเลเพราะกว่าที่สามีจะลุกขึ้นมาทำมาหากินนั้นช่างยากลำบาก อยากให้เขาได้รู้ซึ้งถึงช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้หาเงินเพื่อครอบครัวว่ามันเป็นอย่างไร

อีกอย่างถึงจะขายแป้งย่างได้กำไรดีแต่ก็เพราะว่าได้รับความเมตตาจากใต้เท้าถึงได้เงินก้อนโตมา

“แม่ขอใช้เวลาทบทวนสัก 3 วันแล้วจะมาให้คำตอบนะเด็กๆ” ซูฮวาเอ่ยขึ้นในที่สุดก่อนจะพาเจ้าเจียและอ้ายหนี่ไปเช็ดตัวแล้วพาเข้านอน

เวยลี่เองก็กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อนเช่นกัน วันนี้ช่างยาวนานสำหรับนางเหลือเกิน

หากนางนวดแป้งได้เร็วกว่านี้ ก็คงทำแป้งย่างเสร็จเร็วขึ้น ทำอย่างไรได้นางไม่ค่อยถนัดการทำอาหารแนวนี้สักเท่าไหร่ แต่คาดว่าน่าจะเชี่ยวชาญในเร็ววันนี้

นอนมองขึ้นไปบนเพดานแล้วกำถุงเงินอีกถุงหนึ่งไว้ในมือ ข้างในนี้มีเงินอยู่ 6 ตำลึงท่านใต้เท้าซ่งคงให้นางมาเพื่อตกลงรางวัลสำหรับความซื่อสัตย์ของนาง

ถึงเกิดใหม่ชาตินี้จะยากจนแต่เวยลี่ก็ไม่เคยคิดจะคดโกงใคร นั่นคือสิ่งที่แม่พร่ำสอนเสมอจนกลายเป็นคติประจำใจของนาง

เงินในมือนี้สามารถใช้เปลี่ยนหลังคา สร้างห้องเก็บของใต้ดินและสร้างห้องใหม่ได้ 3 ห้องสบายๆเลย เวยลี่นอนครุ่นคิดอยู่แล้วผล็อยหลับไป

เช้าวันต่อมา

จางเฉินพาลูกน้องมาเริ่มทำรั้วซึ่งเมื่อประเมินแล้วพื้นที่ของบ้านหลี่มีประมาณ 6 หมู่เศษรวมเข้ากับพื้นที่สวนหลังบ้านที่เวยลี่ลงมือถางหญ้าก็จะเป็น 8 หมู่เศษ

หงซวนออกโฉนดพื้นที่ให้ใหม่แล้วจะล้อมรั้วทั้งหมดเป็นพื้นที่เดียวกันไปเลย โดยต้องใช้งบทั้งหมด 6 ตำลึง

เวยลี่ก็จ่ายเงินทั้งหมดให้หัวหน้าหมู่บ้าน แล้วขอเจรจาเรื่องที่จะเปลี่ยนหลังคา สร้างห้องใหม่และทำห้องใต้ดินสำหรับเก็บของด้วย

“ข้าคิดค่าใช้จ่ายเหมาทั้งหมดที่เจ้าว่าอยู่ในราคา 10 ตำลึงเจ้าจะว่าแพงไปไหม จ่ายค่าสร้างรั้วมาก่อนก็ได้ที่เหลือค่อยทยอยจ่าย” หงซวนรู้สึกเห็นใจเวยลี่แต่ว่าครอบครัวเขาเองก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน

“มิเป็นไรท่านลุงข้าจ่ายได้ ตอนนี้ข้าให้ท่าน 6 ตำลึงรอรั้วเสร็จเริ่มทำหลังคาแล้วข้าจะให้ท่านอีก 4 ตำลึงได้หรือไม่”

“ได้ เจ้าค่อยๆขายแป้งย่างสะสมเงินไปก่อนก็ได้”

“ท่านช่วยดูวัสดุที่ใช้ให้เป็นของคุณภาพดีหน่อยได้ไหมเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าข้าหัวสูงอะไรข้าแค่ไม่อยากให้มันพังลงมาง่ายๆ เพราะถ้าหลังคาพังอีกเร็วๆนี้ข้าคงจะหาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาซ่อมอีกไม่ไหว”เวยลี่พูดออกไปตรงๆ

“ทุกอย่างที่หามาเป็นของคุณภาพดี ข้าเอาหัวข้ารับประกัน”จางเฉินพูด แต่สิ่งที่เขาไม่ได้พูดก็คือเขาใช้เส้นสายที่ตัวเองมีซื้อของเหล่านี้ได้มาในราคาเกือบจะเท่าทุน

“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ข้าจะไปเตรียมทำแป้งย่างขายและเตรียมทำมื้อกลางวันให้พวกท่านด้วย” เวยลี่มอบเงินให้หัวหน้าลู่แล้วขอตัวกลับเข้าบ้านไปทำอาหาร

พอเวยลี่เดินเข้าไปแล้วจางเฉินก็กล่าวกับหัวหน้าลู่เพียงสองคนว่า “ท่านเข้าเนื้อไปกี่ตำลึงหัวหน้า ข้าจะจ่ายแทนนางหรือไม่งานนี้ข้าจะขอไม่รับเงินแล้วกัน”

“จางเฉิน…”หัวหน้าลู่ไม่แปลกใจ

จางเฉินเป็นคนฉลาดเนื่องจากทำงานด้วยกันมานานจึงมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จางเฉินน่าจะเดาได้ว่าค่าแรงที่เขาต้องจ่ายจริงรวมกับค่าวัสดุแล้วก็ยังมากกว่าจำนวนเงินที่บอกไป

“ค่ารั้วนี้ประมาณ 8 ตำลึงเพราะต้องใช้เหล็กด้วย ค่าหลังคา ค่าทำห้องใต้ดินและค่าสร้างห้องอีก 3 ห้องยังสามารถสร้างในงบ 5 ตำลึงได้”

“ถ้าเช่นกันข้าจะออกส่วนที่ขาดไปให้ท่าน” จางเฉินพูดเสียงดังฟังชัด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel