ตอนที่ 2 คลุมถุงชน
“หนูไม่แต่งค่ะ!”
“แต่ลูกต้องทำเพื่อครอบครัวนะ รู้ไหมตอนนี้โรงพยาบาลของเรากำลังเป็นหนี้”
“แต่นั่นมันคืออนาคตของหนูเลยนะคะ เขาเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไงหนูก็ยังไม่รู้เลย” เจ้าของใบหน้าสวยหันมาตอบอย่างหัวเสียพร้อมกรอกตามองบน
“เขาก็คือลูกชายของคุณเทียมศิริเพื่อนสนิทของแม่ไง”
“ถึงขั้นต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเลยหรอคะ มันไม่มีวิธีอื่นเลยหรอ”
“ก็แม่อยากให้ลูกมีแฟนสักที ดูอย่างพี่ชายของเราสิ ไม่รู้ไปคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาได้ยังไง แม่กลุ้มใจมากนะแพม ถ้าลูกเป็นเหมือนตาพีทอีกคนแม่คงอกแตกตายแน่ๆ”
เจ้าของใบหน้าสวยเงียบไป ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีแฟน จู่ๆจะให้ข้ามขั้นไปแต่งงานเลย คุณแม่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อีกอย่างผู้ชายคนนั้นมีหน้าคร่าตายังไงก็ยังไม่รู้เลย ถ้าให้เดา คงตัวอ้วนๆ ผิวเข้มๆ หน้าโหดๆ
แค่คิดก็สยองแล้ว!
“แต่การแต่งงานที่ไม่ได้มาจากความรัก แม่คิดว่ามันจะมีความสุขหรอคะ"
“ทำเพื่อครอบครัวไม่ได้หรอ ลูกก็รู้ว่าตอนนี้มีแค่คุณหญิงเทียมศิริเท่านั้นที่จะช่วยเราได้”
“หนูขอปฏิเสธค่ะ”
“แพม!”
“หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ จะให้หนูไปแต่งงานกับคนแปลกหน้าเนี่ยนะ เขาเป็นคนยังไงหนูก็ยังไม่รู้เลย เผื่อเขาเป็นโรคจิตล่ะคะ”
“แม่เคยเจอเขาแล้ว ไม่มีทางเป็นโรคจิตแน่นอน”
“แม่ไว้ใจเขาทั้งๆที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอหรอ” อยากจะบ้าตายจริงๆ คิดว่าการแต่งงานมันเป็นเรื่องเล่นๆหรือไง
“ไม่รู้แหละ ถ้าแพมไม่ช่วยแม่...งั้นก็ไปอยู่กับตาพีทเลยไป๊ จะคิดซะว่าชาตินี้ฉันไม่เคยมีลูก!” พูดจบนางอมรรัตน์ก็เดินปึงปังออกไปเพราะโกรธที่ลูกสาวไม่ยอมรับข้อตกลง
‘ทิชากร’ ทิ้งตัวลงนั่ง สองมือรีบยกขึ้นกุมขมับ พอรู้มาบ้างว่าที่โรงพยาบาลกำลังประสบปัญหา แต่การที่จะให้เธอมาแต่งงานกับคนแปลกหน้ามันใช้ได้ที่ไหน รู้ดีว่าแม่อยากให้เธอมีแฟน แต่นี้มันข้ามขั้นจากแฟนไปเป็นสามีเลยนะ!
ปากก็บอกปฏิเสธ แต่ลึกๆใจกลับเป็นกังวล
หากครอบครัวล้มละลายคงมีหนี้สินติดตัวหลายพันล้าน พี่ชายของเธอคงไม่มีโอกาสไปเรียนแพทย์เฉพาะทางที่เยอรมัน เป็นปัญหาที่คิดไม่ตกเลยจริงๆ พอจะมีสักทางไหมที่เธอไม่ต้องแต่งงาน
เพราะมันหมดยุคคลุมถุงชนไปนานแล้ว!
@ไนท์คลับหรูใจกลางเมือง
ทิชากรแบกความเครียดทั้งหมดมาปลดปล่อยที่ผับหรูย่านใจกลางเมือง ออกมาดื่มคนเดียวเพราะไนท์คลับแห่งนี้มีบาร์สำหรับนั่งคนเดียว
“รับอะไรดีครับ” เสียงของบาร์เทนเดอร์หนุ่มถามขึ้น
“วอดก้าค่ะ”
“วันนี้คุณดูเครียดๆนะครับ” เขาถามกลับพร้อมยกวอดก้ามาเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์นอกจากจะมีหน้าที่ชงเครื่องดื่มแล้วยังต้องเอนเตอร์เทนลูกค้าด้วย
“มีเรื่องหนักใจนิดหน่อยค่ะ” ทิชากรตอบกลับพร้อมกระดกเหล้าเข้าปาก
“สวยๆแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องผู้ชายแน่นอน”
“เรื่องผู้ชายค่ะ”
“โอ้! นี้มีคนกล้าทิ้งคุณด้วยหรอครับ”
“ฉันไม่ได้โดนทิ้งค่ะ แต่ฉันกำลังจะแต่งงาน”
“เอ๋...? จะแต่งงานทั้งทีต้องทำหน้าให้มันสดใสนะครับ”
“ฉันถูกบังคับค่ะ”
มือเรียวยกแก้วเหล้าอีกครั้ง ปกติเป็นคนไม่ค่อยดื่มเหล้ายกเว้นเวลาออกงานสังคมหรือเวลาที่เพื่อนๆชวนออกมาดื่ม ส่วนช่วงไหนเครียดๆก็มักจะออกมาคนเดียว แต่จะดื่มค็อกเทลซะเป็นส่วนใหญ่เหตุเพราะเป็นคนคออ่อน ซึ่งวันนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้สั่งวอดก้า
“ผมว่ามันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะครับ”
“ฉันก็คิดว่างั้น” หญิงสาวเริ่มนั่งเหม่อลอย ไม่อยากถูกตัดหางปล่อยวัดเหมือนพี่ชาย ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ไม่รู้จะหาทางออกได้ยังไง “...ฝากแก้วหน่อยนะคะ เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำแปปหนึ่ง”
“ครับผม” บาเทนเดอร์หนุ่มขานรับ
ทิชากรหยิบมือถือยัดใส่กระเป๋าแล้วหมุนตัวลงจากเก้าอี้สตูลบาร์ที่มีความสูงพอสมควร ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดสีดำเดินเข้ามานั่งพอดี ก่อนที่เสียงเข้มจะดังขึ้น
“ขอวอดก้าสิบช็อต!”