CHAPTER 3
เฉินเจียอีนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ มือเรียวประสานไว้ใต้คาง ขณะจิตใจล่องลอยไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ผู้ชายคนนั้นถือว่าเป็นสุภาพบุรุษแบบที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต คืนนั้นเขาเห็นข้อเท้าของเธอบวมเป่ง จึงเสนอให้เธอถอดรองเท้าออกแล้วขี่หลังเขา ขณะที่หัวใจของเธอแนบกับแผ่นหลังแข็งแรง เสียงหัวใจก็ยังคงเต้นแรงไม่หยุดเพราะยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงความคิด
ไม่ว่าจะใช้สมองคิดเท่าไร ก็ไม่มีอะไรมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลย หญิงสาวเปลี่ยนเป็นเอนหลังไปกับพนักเก้าอี้ ใช้มือเรียวข้างหนึ่งนวดขมับเมื่ออาการปวดหัวแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ทั้งที่เธอไม่เคยเอาเรื่องอื่นมาคิดในเวลางานเลยสักครั้ง
เฉินเจียอีพยายามจะมีสมาธิกับเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้า แต่ยิ่งเธอพยายามผลักเขาออกจากหัว ใบหน้าคมของชายหนุ่มก็ยังลอยซ้ำไปซ้ำมา เมื่อพบว่าเธอไม่สามารถตั้งสมาธิกับงานได้ ทางเดียวที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองได้ คือต้องพบเขาอีกครั้ง เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง
เฉินเจียอีตัดสินใจปิดแล็ปท็อปและลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน คว้าเสื้อโคตที่วางอยู่พนักเก้าอี้ตั้งใจจะไปร้านที่เธอบังเอิญเจอเขาเมื่อคืน แต่ขณะกำลังจะออกจากห้อง เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานก็ดังขึ้น
“ท่านประธานคะ ขออนุญาตค่ะ” เฉินเจียอีจำได้ว่านั่นคือเสียงเลขาของเธอเอง จึงนั่งลงอีกครั้งก่อนจะอนุญาต
“เข้ามาค่ะ”
มู่ลี่ เลขาของเธอในชุดคลุมท้องเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับท้องอุ้ยอ้าย เธอมีท่าทีลังเลเกรงอกเกรงใจ มือทั้งสองข้างถูกันด้วยความประหม่าขณะพูด
“วันนี้ฉันมีนัดคุยกับทนายความ จึงจะขออนุญาตท่านประธานออกไปก่อนเวลา”
เฉินเจียอีเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง อันที่จริงอีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลาพักเที่ยง ถ้าเป็นพนักงานบางคนอาจจะแอบออกไปเงียบ ๆ แต่เลขาของเธอเป็นคนเคร่งครัดกับกฎระเบียบและซื่อตรง เพราะแบบนั้นจึงทำงานกับเธอได้นาน
“คุณนัดกับทนายที่ไหนคะ” ปกติเธอเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อมองหน้าท้องอุ้ยอ้าย และชะตาชีวิตที่ไม่ต่างจากเธอในอดีตก็อดถามไม่ได้ และเมื่อมู่ลี่บอกร้านที่นัดกับทนายความไว้ ก็พบว่าเป็นทางผ่านของร้านที่เธอตั้งใจจะไปนั่นเอง
“เดี๋ยวฉันไปส่ง” เฉินเจียอีบอกก่อนจะคว้าเสื้อแล้วเดินนำไปก่อน
มู่ลี่มองตามหลังเจ้านายสาว อดน้ำตาคลอมาที่หน่วยตาเพราะความซาบซึ้งไม่ได้ เธอทำงานกับเฉินเจียอีมาหลายปี เจ้านายของเธอคนนี้ไม่ใช่พวกยุ่งเรื่องชาวบ้าน ยิ่งจะยื่นมือไปช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่จำเป็นยิ่งไม่เคยทำ แต่วันนี้เจ้านายกลับมีน้ำใจกับเธอ คงเพราะสงสารคนท้องที่มีปัญหาครอบครัว
มู่ลี่ท้องหกเดือนแต่กลับได้รับภาพลับของสามีกับผู้หญิงที่เธอไม่เห็นหน้าส่งมากวนประสาท ตอนแรกเธอก็คิดว่าจะอดทน ทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่อีกฝ่ายเริ่มปั่นประสาทเธอมากขึ้น ไม่เพียงแต่ส่งภาพสัมพันธ์สวาทระหว่างทั้งคู่มาทุกวัน ยังโทรเข้าโทรศัพท์บ้านมากวนประสาทเธอ
มู่ลี่รู้สึกว่านั่นมันทำให้เธอเสียสุขภาพจิตเกินไป ถ้าเธอต้องมาทนอยู่ในสภาพนี้ ก็สู้เลิกกันไปดีกว่าแต่สามีของเธอกลับปฏิเสธแล้วหาว่าเธอคิดไปเอง แม้เธอจะนำภาพพวกนั้นให้ดูเขาก็ไม่ยอมรับ
แม้ภาพนั้นจะไม่เห็นหน้าทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ทำไมเธอจะจำร่างกายสามีตัวเองไม่ได้ มู่ลี่มั่นใจว่านั่นคือภาพของเขากับใครสักคน และเธอตัดสินใจจะฟ้องหย่าจึงไปปรึกษาทนายความ
“โอ๊ะ! คุณทนายก็มาถึงพร้อมกันพอดีเลยค่ะ” มู่ลี่มองไปที่หน้าร้าน ซึ่งทนายความของเธอกำลังเปิดประตูเข้าไปข้างใน เฉินเจียอีซึ่งอาสามาส่งเธอหันมองตามนิ้วที่มู่ลี่ชี้ แล้วก็พบว่าคุณทนายของเลขาคือคนที่อยู่ในความคิดของเธอตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงก่อนหน้านี้นั่นเอง
เขาคือผู้ชายคนนั้นที่เธอเจอที่ผับเมื่อคืน
ภายในร้านครึกครื้นไปด้วยเสียงพูดคุยกันของผู้มารับประทานอาหาร แต่สำหรับมู่ลี่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในฟองสบู่แห่งความเงียบที่น่าอึดอัด เมื่อเจ้านายของเธอที่บอกว่ามีธุระกลับขอเข้ามานั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย
เฉินเจียอีนั่งเก้าอี้ข้างเธอ ซึ่งตรงข้ามกับทนายความหลิว ทั้งสองคนเอาแต่นั่งจ้องตากันเงียบ ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อน
ใครจะรู้ว่าภายใต้ท่าทีนิ่งสงบของเขานั้น หัวใจของหลิวเสี่ยวตงเต้นแรงแค่ไหน มือแข็งแรงขยับแว่นบริเวณสันจมูกขึ้นด้วยความประหม่า
“คุณผู้หญิงคนนี้คือ? ” เขาหันไปถามมู่ลี่
“ทนายหลิว คนนี้คือเจ้านายของฉันเองค่ะ เธอชื่อเฉินเจียอี” ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่นั่งข้างกัน
“เจ้านายคะ คนนี้คือทนายหลิวเสี่ยวตงที่มาดูแลเรื่องคดีของฉันกับสามีค่ะ” มู่ลี่แนะนำคนทั้งคู่ให้รู้จักกัน ซึ่งหลังจบการแนะนำของเธอ ทั้งคู่ยังคงเงียบ จนกระทั่งเป็นหลิวเสี่ยวตงที่พูดขึ้นมาก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเฉิน” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาตรงหน้ารอจับกับเธอ
เฉินเจียอีพยายามผ่อนคลายเพื่อลดความตึงเครียดของตัวเอง แล้วพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความตื่นเต้น เมื่อยื่นมือออกไปช้า ๆ เพื่อจับกับเขา เป็นอีกครั้งที่คิ้วเรียวของเธอขมวดเข้าหากันด้วยความประหลาดใจ เมื่อพบว่าทุกอย่างในหัวเธอยังคงเงียบสนิท เหมือนเหตุการณ์เมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน เธอไม่สามารถได้ยินความคิดของเขา
หลิวเสี่ยวตงมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจ เมื่อเธอบีบมือเขาแรงขึ้น แม้จะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บแต่ก็รู้ว่าการใช้แรงของเธอมันมากกว่าการจับมือทักทายธรรมดา
กระทั่งเห็นว่าคนที่ถูกบีบมืออยู่มองเธอด้วยสายตาประหลาด เฉินเจียอีจึงยอมปล่อยมือออกในที่สุด
“เราจะคุยธุระกันเลยหรือครับ” สมาธิของหลิวเสี่ยวตงกลับไปที่มู่ลี่อีกครั้ง ส่วนคนนอกอย่างเฉินเจียอีที่เสนอตัวมานั่งตรงนี้เองกลับไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด เธอเสหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ ทำราวกับตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับบทสนทนานี้
“เจ้านายของฉันรู้เรื่องปัญหาครอบครัวของฉันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังเป็นความลับอะไรค่ะ” มู่ลี่พูดขึ้นด้วยความร้อนใจ อยากจะรู้ความคืบหน้าเร็ว ๆ
“คุณพอจะมีหลักฐานอะไรเพิ่มหรือยังคะ” มู่ลี่ถามเข้าประเด็นเรื่องที่เธออยากรู้ที่สุดทันทีเพราะไม่อยากให้เสียเวลา เธอจ้างนักสืบไปตามสามี แต่ทุกวันเขาแค่ไปทำงานแล้วกลับบ้าน ไม่มีออกนอกลู่นอกทางให้หาหลักฐานมาเอาผิดได้
คำถามนี้ทำให้หลิวเสี่ยวตงค่อนข้างลำบากใจ นักสืบที่ตามสืบเรื่องของสามีมู่ลี่ ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเลย เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ว่าชู้รักของสามีมู่ลี่น่าจะเป็นคนในที่ทำงานนั่นเอง แต่เมื่อเขาไปตามสืบก็ไม่มีพนักงานคนไหนในบริษัทสงสัยเรื่องนี้ พวกเขาต่างพูดว่ามู่ฟงสามีของมู่ลี่เป็นคนดี อยู่ในศีลธรรม และไม่เคยมีพฤติกรรมออกนอกลู่นอกทาง ยิ่งทำให้หนทางที่จะหาหลักฐานยากยิ่งขึ้น