ฤทธิ์สุรา
จากนั้นเสียงดาลประตูถูกเปิดออกอย่างรุนแรง กลิ่นสุราชั้นดีถูกสายลมหนาวพัดกรูเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอกบุรุษรูปงามคนหนึ่งในอาภรณ์ชั้นดีสีน้ำเงินเข้ม ดวงหน้าของเขางดงามมากแต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลทองนั้นคมกริบราวกับเหยี่ยวร้ายและมันทำให้หานหยางสั่นสะท้านไปทั้งกาย
“เจ้าคิดจะหนีข้าหรือ หานหยาง” น้ำเสียงของเขาช่างเยียบเย็นและมันก็ทำให้หานหยางนั้นกดดันได้อย่างดี
“ท่านอ๋อง ข้า...” หญิงสาวพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อขออิสรภาพของตัวเอง แม้น้ำเสียงจะสั่นไหวและเบาเหมือนกับเสียงกระซิบ
“ปล่อยข้าไปเถอะนะเจ้าคะ ข้าไม่มีส่วนรู้เห็น ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
หลี่เจ๋อประคองสติที่ยังหลงเหลืออยู่ ก้าวเท้าเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ปรากฎขึ้นที่มุมปาก แต่สำหรับหานหยางแล้ว มันกลับเป็นรอยยิ้มที่เย็นชาและดูน่าหวั่นเกรงยิ่งนัก นางอ่านใจคนผู้นี้ไม่ออก...
“แล้วข้าบอกเจ้าหรือ ว่าข้าเห็นเจ้าทำสิ่งใดที่ไหนหรือกับใคร ข้าแค่ขอความร่วมมือเล็กน้อยของเจ้า แต่เจ้าก็เอาแต่ปฏิเสธกัน” เขากล่าวพลางมองนางด้วยสายตาเจือแววเย้ยหยัน
“เจ้าเลิกพล่ามแล้วมาทำหน้าที่ของเจ้าเสีย ข้าซื้อเจ้ามาในราคาที่สูงลิ่ว เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหน้าที่ของเจ้าคือสิ่งใด”
หานหยางพยายามถอยหนี แต่ยิ่งถอยเขาก็ยิ่งก้าวเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ นางจึงพยายามเอ่ยอ้อนวอนทั้งน้ำตา
“ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่กบฏจริงๆ และไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอันใดกับคนพวกนั้น ท่านอ๋อง...ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะไม่บอกใครว่าท่านใช้อำนาจในทางที่ผิด”
“หึ หมดเวลาต่อรองแล้ว เพราะตอนที่ข้าให้โอกาสเจ้า เจ้าก็เอาแต่ปฏิเสธข้าท่าเดียว และแน่นอนว่าตัวข้านั้นไม่ชอบถูกใครปฏิเสธเสียด้วยสิ”
ทุกครั้งที่ถูกคนอื่นปฏิเสธโดยไร้เหตุผล หลี่เจ๋อนั้นมักจะหัวเสียทุกครั้งไป แม้แต่หานหยาง...นางในดวงใจของเขาก็มิใช่ข้อยกเว้น เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสายลมหายใจของเขาแทบจะสัมผัสแก้มนาง
“เจ้าคงต้องการให้ข้าสอนสินะ...ว่าการปรนนิบัติผู้มีพระคุณต้องทำอย่างไร”
หลังจากนั้นร่างของหานหยางก็ถูกโยนลงบนเตียง ก่อนที่ร่างกายของหลี่เจ๋อจะทับคร่อมเอาไว้จนนางนั้นไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนได้
หานหยางได้แต่กัดฟันแน่น น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาค่อยๆ ไหลลงอาบแก้ม เมื่อลำคอขาวระหงถูกขบกัดอย่างบ้าคลั่ง รอยรักสีกุหลาบถูกทำขึ้นมา อาภรณ์สีอ่อนถูกกระชากออกจนในตอนนี้นางอยู่ในร่างเปลือยเปล่า กลิ่นสุราของคนบนร่างนั้นรุนแรงจนไม่ต้องพึ่งลมโชยหนาวแต่อย่างใด
ร่างสูงที่ทาบทับนั้นยังคงโน้มลงมาขบกัดลาดไหล่ขาวและลำคอไปทั่วร่างกาย เรียกเสียงร้องสะอื้นของสตรีใต้ร่างได้เป็นอย่างดี
“ปล่อยข้า...” เสียงแผ่วเบาของหานหยางที่เอื้อนเอ่ยออกมาหมายขอความเห็นใจ แต่ด้วยสติที่ขาดหายจากฤทธิ์ของสุรากลับคิดว่าน้ำเสียงนี้ช่างยั่วเย้าเสียเหลือเกิน
ในที่สุดหลี่เจ๋อก็หมดความอดทน ถอดอาภรณ์ของตัวเองจนหมดแล้วทาบทับไปที่ร่างบางอีกครั้งหนึ่ง ริมฝีปากประกบเข้าและมอบรสจูบอันวาบหวามให้ทันที โดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกวาบหวามด้วยกันกับเขาหรือไม่
รสจูบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับในขณะที่มือหนาที่อยู่ไม่ค่อยจะนิ่งนั้นบีบสัมผัสเนินอกอย่างหยาบโลนก่อนจะครอบด้วยริมฝีปากหนาของตน จากนั้นจึงดึงดูดด้วยแรงปรารถนา ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดไปยังยอดอกที่กำลังตั้งชูชันอย่างหิวหระหาย
“ฮึก...ข้า...” เสียงสะอื้นของหานหยางแผ่วเบา แม้นางตั้งใจจะกล่าวคำปฏิเสธออกไป แต่ตอนนี้หัวสมองกลับไร้ซึ่งคำพูดใดๆ นางสั่นสะท้านด้วยไม่รู้ว่าเพราะความหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือเพราะสัมผัสแปลกที่บุรุษด้านบนกำลังมอบให้
เมื่อคิดว่าอย่างไรคืนนี้คงจะไม่รอดอย่างแน่นอน สู้ยินยอมให้เขาทำดีกว่าหรือไม่เพราะหากยังขัดขืนอาจจะบาดเจ็บได้ เหมือนว่าหลี่เจ๋อนั้นจะผัมผัสได้ว่าหานหยางเริ่มสงบลง เขาจึงส่งนิ้วทั้งสามเข้าไปเบิกทางยังช่องทางรักที่ยังมิเคยมีผู้ใดล่วงล่ำเข้าไป
สามนิ้วอุ่นบรรจงขยับเข้าออกเพื่อขยายช่องทางนั้นให้รับตัวตนของเขาเข้าไปได้
“อ๊ะ” หานหยางเผลอร้องครวญครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
สิ้นคำนิ้วทั้งสามถูกนำออกจากช่องทางรัก ก่อนที่แก่นกายที่ใหญ่โตถูกจรดที่ปากทางและได้กวาดชำแรกเข้าไปในที่สุด
“เจ้าเป็นของข้าแล้ว...หานหยาง” หลังจากที่ดวงตาทั้งสองประสานกัน ร่างหนาก็เริ่มขยับตัวเข้าออก ร่างบางเริ่มสั่นสะท้าน ด้วยรู้สึกถึงความเสียวที่แผ่ไปทั่วเรือนร่างของนาง เผลอแอ่นกายเพื่อเด้งรับเอาแก่นกายที่แข็งแรงของหลี่เจ๋อ หลับตาพริ้มทันทีที่เขาเริ่มขยับสะโพกและเร่งจังหวะจากเนิบๆ นาบๆ ไปสู่จังหวะที่รวดเร็วและรุนแรงมากยิ่งขึ้น