กดดัน
ในขณะที่หลี่เจ๋อกำลังครุ่นคิดอยู่ เป็นเฟิงอี้ที่เข้ามารายงานผู้เป็นนายถึงบุคคลที่มาใหม่
“ท่านอ๋อง ตอนนี้แม่นางหานหยางไม่ยอมทานอาหารเลยพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะเป็นห่วงมากเท่าไหร่แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะหน้าที่การตามล่าของเบาะแสของตระกูลฉู่และการเค้นคำตอบจากภาพวาดของหานหยางยังค้ำคออยู่
“เดี๋ยวข้าจะไปดูนางเอง” หลี่เจ๋อพูดพร้อมกับคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวมใส่และสาวเท้าก้าวยาวเดินจากห้องทำงานไปยังเรือนหลังงามที่อยู่ท้ายจวน
“ปล่อยข้า!” รู้สึกตัวอีกทีหานหยางก็มาอยู่ที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยกลิ่นกำยานของจันทน์หอมชวนให้แสบจมูกยิ่งนัก ข้างกายมีหญิงสาวสองคนที่แต่งกายคล้ายกัน ดูแล้วคงเป็นบ่าวของจวนใหญ่แห่งนี้
กำยานกลิ่นจันทน์หอมอบอวลไปทั่วห้องหมายจะทำให้คนที่อยู่ในห้องสงบใจ แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นกลับให้ผลตรงกันข้ามกัน
ในชีวิตนี้ข้าไม่เหลือสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ทั้งท่านพ่อท่านแม่ จวนและทรัพย์สินถูกยึดกลับไปเป็นของแผ่นดินหมดแล้ว สมบัติตระกูลหานชิ้นสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่ในตอนนี้คงจะมีแค่ลมหายใจของข้ากระมัง
ยิ่งได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ก็ยิ่งไม่เข้าใจในโชคชะตาของตน ความรู้สึกของนางในตอนนี้รู้สึกหนักอึ้งราวกับมีหินขนาดมหึมาถ่วงเอาไว้
“แม่นางหานหยาง ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ” เสียงนุ่มนวลของสตรีวัยใกล้เคียงกับนางดังขึ้นพร้อมกับสำรับอาหารที่อยู่ในมือ
“ข้าไม่กิน ไม่ต้องมายุ่งกับข้า!” หานหยางปฏิเสธทันควัน สภาพจิตใจของนางในตอนนี้ไม่สามารถพบปะใครได้จริงๆ
ทันทีที่สิ้นเสียงของหานหยาง บานประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรุนแรงจนเสียงบานพับประตูสั่นสะท้านเบาๆ ราวกับต้องการไม่พอใจกับการปฏิบัติที่หยาบกระด้างนี้
หลี่เจ๋อเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าขุ่นมัว นอกจากจะถูกปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือเรื่องแหล่งกบดานของกบฏแล้วยังถูกปฏิเสธสำรับอาหารเย็น หานหยางของเขานั้นจะดื้อดึงไปถึงไหน
“อย่ามาจับตัวข้านะ!” หานหยางที่กำลังพยายามหาทางหนีให้กับตัวเอง แต่ก็มิวายถูกบุรุษผู้สูงศักดิ์ในอาภรณ์ชั้นดีสีนำเงินเข้มรั้งตัวไว้
“ทำไมข้าถึงจับตัวของเจ้าไม่ได้กัน ในเมื่อบิดาและมารดาขายเจ้าให้กับข้าแล้ว”
“ข้า...ถูกนำมาขาย?” เสียงของหานหยางสั่นเครือ ร่างบางสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ไม่เป็นความจริงใช่ไหม โชคชะตากำลังล้อนางเล่นหรือเปล่า
“ถูกต้อง มารดาของเจ้าเป็นคนขายเจ้าให้กับข้าก่อนที่นางจะถูกทางการจับกุมตัวไป ถือเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของนางเพื่อให้เจ้ามีชีวิตรอดยังไงหล่ะ ขายเรือนร่างให้กับข้าเป่ยอ๋องแห่งแคว้นเป่ยโจวย่อมดีกว่าถูกประหารชีวิต เจ้าว่าจริงหรือไม่หานหยาง?”
“ท่านคือเป่ยอ๋องที่เพิ่งมาครองแคว้นได้เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา”
หานหยางเคยได้ยินท่านแม่บอกกับนางเมื่อหลายเดือนก่อนว่าตระกูลหานจะต้องไปคารวะอ๋องนั่งเมืองคนใหม่ที่เขาร่ำลือกันว่ารูปงามนัก แต่หานหยางที่จดจ่อกับการวาดภาพกลับหลงใหลการเดินเสาะหาทิวทัศน์มากกว่าการไปคารวะอ๋องหนุ่มรูปงาม
“ถือว่าสมองของเจ้านั้นยังไม่ทึบเสียทีเดียว งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลย”
อ๋องหนุ่มยื่นม้วนกระดาษม้วนหนึ่งที่ช่างดูคุ้นตาให้กับหานหยาง มันเป็นภาพวาดของหุบเขาไป๋หู ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของนางนั้นเอง
“ท่านอย่าบอกนะว่าท่านชอบมันมาก...จนต้องจับข้ามาขังที่นี่เพื่อวาดภาพให้กับท่าน”
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าที่ตระกูลของเจ้าต้องล่มจมชั่วพริบตานั้นเป็นเพราะเหตุใดกัน”
ประโยคคำถามนี้สั่นคลอนจิตใจของหญิงสาวได้ดี ซึ่งมันเป็นคำถามที่นางเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้
“ข้าไม่ทราบ...”
“งั้นข้าจะบอกกับเจ้าเอง มันเป็นเพราะภาพนี้ของเจ้า ภาพนี้เป็นภาพของหุบเขาที่พวกกบฏตระกูลฉู่กำลังแฝงตัวกบดานอยู่”
“เป็นไปไม่ได้...ท่านล้อข้าเล่นใช่ไหม!”
ภาพของบิดาที่เข้าไปยังบริเวณหุบเขาพร้อมกับชายชุดดำยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของหญิงสาว ท่าทางของชายชุดดำเหล่านั้นที่ส่งสายตามองสำรวจไปทั่วราวกับว่ากลัวใครจะค้นพบพวกเขา
“เป็นเพราะเหตุนี้ใช่ไหมท่านถึงต้องซื้อตัวข้ามาเพื่อกักขังไว้…ข้าไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนเลยหรือ”