๒.๑ ติวเตอร์มือใหม่
๒
ติวเตอร์มือใหม่
รามิลควบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์หกแบบสปอร์ต เปิดประทุนที่เพียบพร้อมไปด้วยดีไซน์และความหรูหรากลับคอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางกรุงด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก เขาเอื้อมมือไปเปิดเพลงให้ดังกระหึ่มขึ้นแล้วผุดพรายรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีขึ้นบ้างเมื่อนึกถึงหน้าเอ๋อๆ ของนักประพันธ์สาวที่เขาพึ่งแก้เผ็ดเล็กๆ น้อยๆ ไปเมื่อสักครู่ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาติดตามงานประพันธ์ของหล่อนมาได้สักระยะแล้ว จะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญก็ใช่ เพราะวันนั้นเขาเข้าไปในร้านหนังสือและเห็นนิยายของหล่อนเข้าจึงพลิกดูคำโปรยปรายหลังปก เห็นว่าเขียนได้น่าติดตาม เขาจึงหยิบติดมาจ่ายตังค์ด้วย
จะว่าไปหนังสือนิยายนั้นรามิลเคยอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะแม่ของเขาเป็นนักอ่านตัวยง และนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เมื่ออาของเขาซึ่งเป็นเจ้าของโทรทัศน์ช่องหนึ่งมาขอให้แสดงละครให้เขาจึงไม่ปฏิเสธ เพราะอ่านแล้วก็นึกอยากเป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในหนังสือแต่ละเล่ม
ใครๆ ก็ว่านักแสดงส่วนใหญ่ต้องการความเป็นส่วนตัว รามิลก็เป็นคนหนึ่งที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก แต่ที่เขาสั่งให้หล่อนย้ายมาอยู่คอนโดมิเนียมของเขานั้นมันช่างตรงข้ามโดยสิ้นเชิง กรณีนี้รามิลยกเว้นกฎของตัวเอง เพราะเขาร่างรายการที่จะแก้เผ็ดนักประพันธ์สาวเอาไว้ซะยาวเหยียด ถ้าหล่อนอยู่ไกลหูไกลตาเขาอาจจะทำได้ไม่ถนัดนัก เห็นตัวจริงหล่อนแล้ว บอกได้คำเดียวว่าห่างไกลกับที่จินตนาการเอาไว้ซะเยอะ ไม่มีความเปรี้ยวอยู่ในบุคลิกของหล่อนสักนิดหากแต่ปริญชยาช่างเขียนบทรักได้หวือหวาจนเขานึกอยากรู้ว่าตัวจริงจะเก่งเรื่องอย่างว่าแค่ไหน เขานึกอยากฟังเสียงครวญครางของหล่อนยามบิดส่ายอยู่ใต้ร่างเขา ว่าจะรัญจวนเร่าร้อนสักเพียงใด…
อีกสองวันต่อมาปริญชยาและวีวี่ก็ย้ายเข้าอยู่ในห้องคอนโดมิเนียมของรามิล วันที่ทั้งสองย้ายมานั้นเจ้าของห้องไม่อยู่เพราะติดงานถ่ายละครที่ต่างจังหวัด แต่มีอาภาหรืออี๊ดผู้จัดการส่วนตัวของเขามาคอยจัดการเป็นธุระให้ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเจ้าของคอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางกรุงราคากว่าพันล้านแห่งนี้ คือ ‘รามิล ศิวัฒน์ชัย’ หน้าฉากเขามีอาชีพนักแสดงยอดนิยม แต่เบื้องหลังนั้น เขาคือ ‘เจ้าพ่อแห่งอันดามัน’ ผู้ทรงอิทธิพลและกุมบังเหียนธุรกิจกว่าครึ่งค่อนภูมิภาค
“สวัสดีค่ะพี่อี๊ด” วีวี่ซึ่งรู้ว่าอาภาเป็นใครจากการติดตามข่าวคราวของรามิลเรียกชื่อหล่อนได้ถูกเป๊ะๆ จนปริญชยาอดทึ่งเพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำการบ้านมาดี
“สวัสดีจ้ะ” อาภายกมือขึ้นรับไหว้อย่างไม่ค่อยยิ้มแย้มนักทั้งนี้เพราะหล่อนไม่เห็นด้วยที่รามิลตัดสินใจแบบนี้แต่หล่อนก็ไม่อาจจะขัดใจเขาได้
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” วีวี่จีบปากจีบคอพูดอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ปลื้มตนกับปริญชยานักตามประสาผู้จัดการส่วนตัวที่กลัวดาราในสังกัดตัวเองจะเสียภาพพจน์หรือเกิดข่าวเสียๆ หายๆ
อาภายิ้มเพียงนิดแล้วจึงเดินนำไปยังห้องๆ หนึ่งก่อนจะหันมาบอกทั้งสองคน “อยู่ห้องนี้นะ อยู่ด้วยกันสองคนได้ไหม?”
“ได้ค่ะพี่อี๊ด” ปริญชยาตอบอย่างนุ่มนวล
“อ้อ...พี่มีเรื่องอยากจะขอร้องเราสองคนหน่อย”
“ว่ามาเลยค่ะคุณพี่” วีวี่เป็นฝ่ายออกหน้า
“อยู่แต่ห้องตัวเองนะ อย่าไปยุ่มย่ามห้องของโรม เขามีความเป็นส่วนตัวสูง แล้วอีกอย่างเขาเป็นคนมีชื่อเสียงพี่ไม่อยากให้มีข่าวไม่ดี เข้าใจใช่ไหม” ผู้จัดการสาวใหญ่พูดตรงไปตรงมา
วีวี่จีบนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็นวงกลม ขยิบตาให้อาภา “โอเคค่ะคุณพี่”
“โอเคก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยล่ะ” อาภากำชับ
“ค้า”
หลังจากนั้นอาภาก็ส่งกุญแจห้องให้พร้อมกับคีย์การ์ดของคอนโดมิเนียมอีกชุดก่อนจะขอตัวกลับปล่อยให้ปริญชยาและวีวี่จัดของกันตามลำพัง
“ฉันอึดอัดจังเลยวีวี่” ปริญชยาเปรยๆ
“เอาน่าแก ลงเรือมาแล้วยังไงก็ต้องข้ามให้ถึงฝั่ง” วีวี่เอ่ยปลอบ
“ละครเรื่องหนึ่งนี่เขาถ่ายกันนานแค่ไหน”
“ก็แล้วแต่เรื่องน่ะแก ฉันว่าเรื่อง ‘นางบำเรอแสนเสน่หา’ ของแกเนี่ย คงจะถ่ายประมาณหกเดือนล่ะมั้ง” วีวี่คาดคะเนตามที่เคยเห็นใสข่าวบันเทิง
ปริญชยาทำหน้าเซ็งๆ “แสดงว่าเราต้องอยู่ที่นี่ตั้งหกเดือนเลยเหรอ”
“ก็แหงสิแก นอกจากคุณโรมเขาจะไล่เราออกไปอยู่ที่อื่นก่อน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะดีใจมากเลย” เสียงหวานฟังดูหงอยๆ
“อะไรๆ มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่แกคิดก็ได้”
เมื่อจบการสนทนาหัวข้อนั้นแล้วทั้งสองจึงช่วยกันจัดของเข้าตู้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและแบ่งที่นอนกัน โดยทั้งสองตกลงกันว่าวีวี่จะนอนฟูกด้านล่างส่วนปริญชยานอนบนเตียง
ตกดึกวีวี่ก็หลับปุ๋ยเพราะหล่อนต้องออกไปทำงานแต่เช้า ปริญชยาชะโงกหน้าลงไปดูเพื่อนตัวเองที่ส่งเสียงกรนอย่างต่อเนื่องด้วยความเซ็งๆ ก็จะไม่ให้เซ็งได้อย่างไรเสียงกรนอย่างมีความสุขของวีวี่รบกวนการนอนของหล่อนจนนอนไม่หลับ มือบางเลื่อนไปควานหาหูฟังในกระเป๋าแล้วก็ต้องกลุ้มหนักเพราะพึ่งนึกได้ว่าลืมไว้ที่บ้านเช่า
“สงสัยพรุ่งนี้ต้องซื้ออันใหม่อย่างด่วนที่สุด” เสียงหวานพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปคว้าเอาหมอนแล้วเดินออกจากห้อง
“คืนนี้สงสัยต้องนอนตรงนี้ไปก่อน” ปริญชยาพูดกับตัวเองก่อนจะตบหมอนให้ฟูๆ แล้วเอนตัวนอนลงบนโซฟาตัวยาวอย่างสบายใจเพราะอย่างน้อยข้างนอกนี่ก็ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ เพียงไม่กี่นาทีดวงตากลมโตก็ค่อยๆ ปรือหลับลงด้วยความง่วง
ประตูห้องของคอนโดมิเนียมหรูถูกเปิดออกด้วยคีย์การ์ดอีกใบเพียงไม่ถึงนาทีร่างสูงกำยำก็เดินผ่านเข้ามาให้ห้อง จากนั้นไฟก็สว่างพรึบขึ้นแต่คนที่นอนอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นร่างบางนอนคุดคู้อยู่ที่โซฟา เขาสาวเท้าเข้าไปหาทันที กำลังจะเอื้อมไปเขย่าปลุกให้ตื่นแต่อะไรบางอย่างบนใบหน้าเนียนใสยามที่ไม่มีกรอบแว่นหนาๆ บดบังนั้นดูดึงดูดสายตาแปลกๆ
ใบหน้าหล่อนเป็นรูปไข่เนียนใสขาวสะอาดตาอย่างเป็นธรรมชาติปราศจากเครื่องสำอางแต้มแต่งน่าใช้ปลายนิ้วเขี่ยเล่น แพขนตางอนยาวดกดำ จมูกโด่งรั้นเชิดขึ้นนิดๆ รับด้วยริมฝีปากบางสวยแดงระเรื่อเป็นกระจับเผยอขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังวอนขอจุมพิตจากชายคนรัก รามิลพยายามสลัดอารมณ์ที่กำลังสั่นไหวกับความงามอันเย้ายวนตรงหน้า แต่กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆ เหมือนมะลิแรกแย้มดูบริสุทธิ์ สะอาด ชวนดอมดมทำให้อดไม่ได้ที่จะยื่นใบหน้าหล่อคมเข้าไปใกล้หวังจะเชยชมความงามทั้งหมดนั้นด้วยจมูกและปากของเขาเองแต่แล้วร่างบางก็ดิ้นขยุกขยิกราวกับรู้ตัวว่ากำลังจะถูกล่วงล้ำ ร่างสูงจึงรีบผละออกห่างอย่างวางฟอร์ม จากนั้นเปลือกตาคู่หวานจึงค่อยๆ ลืมขึ้น ภาพตรงหน้าไม่ชัดนักหล่อนจึงควานหาแว่นที่ถอดไว้ใกล้หมอนมาใส่ เมื่อเห็นชัดว่าใครยืนอยู่ตรงนั้นร่างอรชรก็รีบทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งทันที
“คุณ!!”
“ทำท่ายังกะเห็นผี” เขาพูดอย่างตำหนิเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีอันมีพิรุธของตน
“ก็ฉันตกใจนี่คะ” หญิงสาวรีบแก้ตัว “ไหนพี่อี๊ดบอกว่าคุณไปถ่ายละครต่างจังหวัด”
“คุณจะไม่ให้ผมกลับมาหรือไง”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ห้องนี้มันห้องคุณ คุณจะไปจะมาเมื่อไหร่มันก็สิทธิ์ของคุณนี่คะ” เสียงหวานเริ่มเถียงบ้าง
“ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้หรือกะจะอ่อยผม” น้ำเสียงนั้นราบเรียบแต่แฝงการยียวน
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าพูดแบบนั้นกับผู้หญิงบอบบางอย่างหล่อน “บ้าสิ!”
“แล้วนี่เพื่อนคุณไปไหน?”