๑.๒ พระเอกเจ้าเสน่ห์
สายตาคู่สวยเหม่อมองออกไปนอกร้าน เห็นผู้คนเดินไปเดินมากันขวักไขว่แสดงว่าได้เวลาเลิกงานแล้ว หล่อนเป็นคนที่เรียนไม่ค่อยเก่งนักอาศัยว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มช่วยกันติวจึงประคองตัวเองให้จบมาได้ เพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่มต่างก็ได้งานทำกันหมด ส่วนหล่อนจะชอบตกม้าตายตอนสัมภาษณ์ทุกทีเชียว... เวลาเห็นคนอื่นออกไปทำงานก็นึกอิจฉาบ้างแต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาของหล่อน สุดท้ายจึงได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จะมีบริษัทที่ตาถึงเรียกหล่อนไปทำงานบ้าง
เพื่อนๆ ของปริญชยาไม่มีใครรู้สักคนว่าหล่อนเป็นนักเขียนยกเว้นวีวี่เพื่อนที่สนิทที่สุดเพียงคนเดียวซึ่งรู้ความลับอันนี้ และหล่อนก็กำชับวีวี่ไว้นักหนาว่าไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชายในกลุ่ม เพราะนิยายที่หล่อนเขียนทุกเรื่องบรรยายฉากรักซะหวือหวา ถ้าพวกนั้นรู้คงได้ล้อกันไปเป็นปีๆ ว่าเอาประสบการณ์ที่ไหนไปเขียนในเมื่อชีวิตนี้หล่อนไม่เคยมีแฟนกับเขาสักคน
เกือบหกโมงเย็น ร่างอันอวบอึ๋ม เอ๊ย... อวบอัดของวีวี่ก็เดินสะบัดสะบิ้งบิดส่ายก้นงอนงามเข้ามาในร้าน สอดส่ายสายตาที่แต่งแต้มเอาด้วยอายเชโดว์และอายไลน์เนอร์สีสดใสหาปริญชยาทันที
“ทางนี้จ้า” ปริญชยายกมือขึ้นส่งสัญญาณเรียกเพื่อนชายหัวใจหญิง
วีวี่กระวีกระวาดตรงดิ่งไปที่โต๊ะแล้วทรุดร่างอวบอัดลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับที่ปริญชานั่งอยู่
“โอ๊ย ร้อนมากมาย” วีวี่บ่นพอเป็นพิธีก่อนจะเข้าเรื่อง “ว่าไงยะ หล่อนเรียกฉันมามีเรื่องอะไรไม่ทราบ?”
“คือพี่บก. เขาโทรมาบอกฉันว่า นิยายของฉันได้ทำเป็นละคร”
“อะไรนะยะ!!!” วีวี่อุทานเสียงดังจนคนทั้งร้านหันมามอง
ปริญชยายกนิ้วแตะที่ปาก “ชูว์... เบาๆ สิ”
“ก็ฉันตื่นเต้นนี่ยะ”
“ฉันก็ตื่นเต้นเหมือนแกนั่นแหละตอนที่รู้”
“แล้วแกมีเรื่องกลุ้มอะไร?”
“ก็อีตาคุณโรม พระเอกของเรื่องน่ะสิ ดันยื่นข้อเสนอกับสำนักพิมพ์ว่าต้องการให้ฉันไปติวบทเลิฟซีนให้เขาเป็นการส่วนตัว”
“ว้ายย!! อกอีแป้นจะแตก!!” เสียงสาวประเภทสองดังขึ้นอีกครั้งพลางยกมือขึ้นทาบอกอย่างมีจริต
“ฉันถึงกลุ้มไง”
“อุ้ย…” วีวี่โบกไม้โบกมือ “จะกลุ้มไปทำไมยะ ได้มีโอกาสใกล้ชิดดาราดังแกน่าจะดีใจมากกว่านะ แกรู้ป่าวว่าคุณโรมเนี่ยหล่อที่สุดในปฐพีแล้ว”
“มันก็น่าดีใจหรอก ถ้าไม่ใช่ต้องไปติวบทเลิฟซีนให้เขาน่ะ”
“แหมแก อย่างมากก็แค่กอดจริงจูบจริง ส่วนบทอื่นเขาก็ใช้มุมกล้อง ใครจะไปถ่ายได้หมดเปลือกขนาดนั้นยะ”
มือเรียวยกขึ้นขยับกรอบแว่นอย่างกลุ้มๆ “แกก็รู้ว่าฉันเคยจูบกับใครที่ไหน”
วีวี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางทำท่าครุ่นคิดก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ!
“ฉันคิดออกแล้ว”
ดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นสีใสไหวระริกอย่างตื่นเต้นดีใจเมื่อเพื่อนสาวคิดหาทางออกได้แล้ว สองมือประสานกันค้ำไว้ที่ใต้คางมนแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ว่าไงๆ”
“เดี๋ยวฉันจะสอนแกจูบเอง”
“บ้าสิ! เดี๋ยวฟ้าก็ได้ผ่าตายทั้งคู่หรอก” หญิงสาวทำหน้าผิดหวัง
“เออใช่สินะ ฉันก็ลืมไปว่าเราเพศเดียวกัน ฉันไม่อยากเล่นดนตรีไทย”
“คราวนี้ฉันต้องแย่แน่ๆ เลยวีวี่” ปริญชยาโอดครวญ
“เอาน่าแก... แกก็อ่านตามบทแล้วแอ๊บๆ บอกเขาไปก็จบ”
“เฮ้อ...” เสียงหวานทอดถอนหายใจออกมาอย่างหมดหวัง ก่อนจะก้มลงตักไอศกรีมส่งเข้าปากแล้วกลืนคออย่างฝืนๆ
วันบวงสรวงของกองละคร ‘นางบำเรอแสนเสน่หา’
แสงแฟลชวูบวาบแข่งกับเสียงกดชัตเตอร์ดังระรัวโดยกล้องทุกตัวต่างโฟกัสไปที่พระเอกโรม รามิล และนางเอก ฟ้า พิมอัมพร ตั้งแต่เริ่มบวงสรวงจนเสร็จพิธีจากนั้นทั้งสองก็ถูกจับให้ถ่ายรูปคู่กันในท่วงท่าต่างๆ ทั้งยืนโอบเอวสบตาหวานฉ่ำและยืนซ้อนแบบหลังนางเอกแนบอกพระเอก ก่อนจะให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนจากสำนักบันเทิงต่างๆ
ปริญชยายืนมองภาพนั้นอย่างเหนื่อยแทน การเป็นนักแสดงนี่ก็ไม่ใช่ง่ายเลยเหมือนกันตามความคิดของหล่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในกองละครแบบใกล้ชิดขนาดนี้ นักข่าวสนใจอยู่กับดาราที่จะอยู่หน้ากล้อง ส่วนคนเบื้องหลังผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบทประพันธ์อย่างหล่อนกลับไม่มีใครสนใจ แต่นั่นก็ดีเหมือนกันเพราะปริญชยาไม่ชอบเลยกับการถูกจับจ้องด้วยกล้องถ่ายรูป
“โห... คุณโรมตัวเป็นๆ นี่หล่อขั้นเทพจริงๆ เลยนะยัยแป้ง” วีวี่กระซิบกระซาบอย่างตื้นเต้น แววตาปรือเยิ้มชวนฝันเมื่อร่างสูงสมาร์ตไหล่กว้างอกผึ้งผายเดินตรงมาพร้อมกับผู้จัดละคร
“เงียบๆ ก่อนแก” ปริญชยาหันไปปรามเพื่อนสาว
กานติมายิ้มรับเมื่อประไพศรีซึ่งเป็นผู้จัดละครเดินมาถึงพร้อมกับรามิล
“สวัสดีค่ะคุณประไพศรี” กานติมายกมือขึ้นไหว้อย่างเรียบร้อย
ประไพศรียกมือขึ้นรับไหว้และหันไปทางรามิล “พาพระเอกมาแนะนำค่ะคุณกาน”
“สวัสดีครับ” รามิลเอ่ยทักทายบรรณาธิการด้วยท่าทีอันสุภาพ
“กานพาเจ้าของบทประพันธ์มาแนะนำเช่นกันค่ะ”
ว่าแล้วกานติมาก็สะกิดแขนปริญชยา หญิงสาวจึงรีบยกมือขึ้นไหว้ผู้จัดและรามิลตามมารยาท ร่างสูงสมาร์ตสอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกงพลางพินิจหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่เกรงใจ
“ผมขออนุญาตคุยกับนักเขียนปากกาทองเป็นการส่วนตัวนะครับ” เขาหันไปขออนุญาตกานติมาและประไพศรีก่อนจะเดินนำไปยังใต้ร่มหูกวางที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น ทำให้ปริญชยาต้องขยับตัวตามไปอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้มีโอกาสได้เผชิญหน้ากับรามิลตามลำพัง ดวงตากลมโตมองหน้าบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างเพ่งพิศ... หล่อนยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายที่ทรงเสน่ห์และแฝงไว้ด้วยพลังแห่งบุรุษเพศทุกกระเบียดนิ้วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หญิงสาวรู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยกระตุกผิดจังหวะเมื่อได้เผลอมองนัยน์ตากลมโตที่คมเข้มประดุจนิลกาลคู่นั้น
“คุณเหรอที่เป็นเจ้าของบทประพันธ์?”
เสียงห้ามทุ้มทรงพลังอำนาจปลุกหญิงสาวให้หลุดจากภวังค์ ดวงตาคมซึ้งมองที่หล่อนอย่างสำรวจทำเอาปริญชยาหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันที
“ค่ะ...”
“รู้แล้วใช่ไหมว่าต้องมาติวบทอะไรให้ผม?” เสียงทุ้มถามเรียบแต่ทว่าดูทรงเสน่ห์
“ทราบค่ะ”
“ไม่มีปัญหาใช่ไหม?” ท่าทีนั้นพร้อมจะคุกคามหากว่าได้ยินคำปฏิเสธ
“มะ...ไม่มีค่ะ” เสียงหวานตอบตะกุกตะกักอย่างไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ และไม่เข้าใจว่า... จะต้องหัวใจเต้นโครมครามไปทำไมกะอีแค่พูดจากับเขาไม่กี่ประโยค
“คุณพร้อมจะเริ่มงานเมื่อไหร่?”
“เอ่อ... ก็ตอนที่กองเปิดสิคะ”
“แต่ผมต้องการให้คุณเริ่มงานเลย”
“อะ...อะไรนะคะ?!?” ปริญชยาอ้าปากค้างและหงุดหงิดตัวเองที่เหมือนจะติดอ่างไปเสียทุกคำ