บทที่ 1 วันวาน 1
แปดปีที่แล้ว
ไร่ดุจตะวัน ไร่ชาและกาแฟที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองจากมุมสูงภาพเบื้องหน้าคล้ายผืนหญ้าสีเขียวขจีผืนใหญ่ปลูกเต็มพื้นที่ ดูรื่นตา รื่นใจยามเยี่ยมมอง ลมเย็นๆ ที่มาพร้อมกับแสงแดดอบอุ่น ทำให้หัวใจคนมองรู้สึกชุ่มชื่น ความทุกข์หรือความรู้สึกที่แบกรับไว้ถูกปลดปล่อยไปชั่วขณะ
ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น...
ณัฐรวีคือเจ้าของนัยน์ตาเศร้าที่มักมานั่งมองความงดงามของไร่ดุจตะวันตรงศาลาไม้ระแนงใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ ความรู้สึกยามได้มองภาพตรงหน้าคือ ปล่อยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจให้ไหลไปกับสายลม แสงแดดและทุ่งชากาแฟ
ในขณะที่มอง ณัฐรวีหวนคิดเรื่องราวในอดีต หล่อนอยู่ไร่ดุจตะวันมาสิบสองปีแล้ว วันแรกที่เหยียบย่างมาไร่แห่งนี้ หล่อนในวัยเก้าปีมาพร้อมกับรุ่งวดี ผู้เป็นแม่ รุ่งวดีเข้ามาอยู่ในไร่ดุจตะวันในฐานะภรรยาน้อยของเชษฐา ที่หลงรักหัวปักหัวปำ ไม่สนใจว่าการพาภรรยาน้อยเข้ามาในบ้าน จะนำความเสียใจมาให้เนาวรัตน์ ภรรยาหลวงมากแค่ไหน เขาสนใจเพียงแค่ความสุขของตัวเอง และนั่นทำให้เกิดเรื่องราวมากมายในเวลาต่อมา
ในบ้านหลังใหญ่มีสมาชิกอยู่ด้วยกันห้าคน หนึ่งคือเชษฐา สองคือเนาวรัตน์ สามคือแก้วตา เด็กหญิงวัยเก้าปีที่เจ้าของบ้านอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก สี่คือรุ่งวดีและห้าคือณัฐรวี ส่วนลูกชายคนเดียวของเชษฐากับเนาวรัตน์ ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาโทอยู่ประเทศอังกฤษ นามว่า เมฆา ที่ไม่รู้ข่าวเรื่องบิดาพาภรรยาน้อยเข้าบ้าน เป็นเพราะเนาวรัตน์ปิดเรื่องนี้ไว้เงียบเชียบ เกรงว่าหากลูกชายรู้อาจทำให้เสียการเรียนได้ นางจึงทนเจ็บปวดตามลำพัง
ทว่าความลับไม่มีในโลก หนึ่งปีกับการปิดบังความจริง ถูกเปิดเผยเพราะเชษฐาพารุ่งวดีไปเที่ยวอิตาลี ความบังเอิญเกิดขึ้น เมื่อเมฆาไปเที่ยวกรุงโรมกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งบิดาได้พาภรรยาน้อยไปเที่ยวสถานที่เดียวกันพอดี ความจึงแตก เมฆาโกรธเชษฐามาก พานเกลียดรุ่งวดีแบบเข้ากระดูกดำ ความเกลียดชังยังเผื่อแผ่มาให้ณัฐรวีอีกด้วย
หลังจากเมฆารู้ความจริง เขาตั้งใจกลับเมืองไทย ทว่าความตั้งใจของเขาเป็นหมัน เมื่อมารดาขอร้องให้เรียนต่อให้จบ เมฆายอมทำตามที่เนาวรัตน์ร้องขอ เพราะความสำเร็จของเขา คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในหัวใจคนเป็นแม่ หนึ่งปีต่อมาเมฆาเรียนจบและกลับเมืองไทยทันที และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดของณัฐรวี
“มานั่งเป็นนางเอกอีกแล้วนะ” เสียงดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ณัฐรวีดึงตัวเองจากอดีต หันมามองต้นเสียงที่เดินมานั่งใกล้ๆ “ทำงานเสร็จแล้วเหรอถึงมานั่งตรงนี้”
เจ้าของคำพูดคือปั้นดาว ลูกสาวหัวหน้าคนงานและเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของณัฐรวี อีกทั้งหล่อนยังรู้ทุกเรื่องที่เกิดกับเพื่อนรักคนนี้ ทว่าก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้มากนัก นอกจากคอยปลอบและให้กำลังใจ
“เสร็จแล้วจ้ะ” ณัฐรวีตอบ ก่อนหันไปมองภาพเบื้องหน้าต่อ
“วิวตรงนี้มันดีอะไรหนักหนา ฉันเห็นแกนั่งมองทุกวัน ไม่เบื่อหรือไง ฉันล่ะเบื่อจะแย่ เห็นมาตั้งแต่เด็ก”
“ฉันอยากเป็นนก” ณัฐรวีตอบไม่ตรงคำถาม
“อะไรของแก” ปั้นดาวทำหน้างง
“ฉันอยากเป็นนกไง ฉันจะได้มีปีกบินออกไปจากที่นี่”
คนตอบน้ำตาคลอ มองเส้นขอบฟ้าไกลสุดลูกตาด้วยความหวัง ความหวังที่ติดอยู่ในใจณัฐรวีมานานหลายปี แล้วไม่รู้ว่า ความหวังจะเป็นผลวันใด ปั้นดาวเข้าใจคำพูดและความรู้สึกของเพื่อน หล่อนวางมือลงบนบ่าณัฐรวี บีบเบาๆ ส่งกำลังใจให้เพื่อนรัก
“ฉันเชื่อว่า แกจะได้เป็นอิสระ ถ้าแกออกไปจากที่นี่ได้ ไม่ต้องกลับมานะ ฉันไม่อยากเห็นนกตัวนั้นกลับมาตายรัง ไม่อยากเห็นแกเป็นนกน้อยในกรงจอมมาร”
ไร่ดุจตะวัน เป็นสถานที่สวยงาม ร่มรื่น สบายตาและสบายใจยามได้มองทัศนียภาพราวกับภาพวาด นั่นเป็นความรู้สึกของคนอื่น แต่ไม่ใช่กับณัฐรวี ไร่ดุจตะวันเปรียบเสมือนนรกในใจ นรกขุมลึกที่สุด ไม่มีเส้นทางใดให้ณัฐรวีตะเกียกตะกายขึ้นจากอเวจีหลุมนั้นได้ ในความสิ้นหวังยังมีความหวังเล็กๆ อยู่ในจิตใจณัฐรวี แล้วความหวังเป็นแรงผลักดันให้หล่อนอยากมีชีวิตต่อ
“แกมาหาฉัน แกทำงานเสร็จแล้วเหรอ เดี๋ยวถูกพ่อดุอีกหรอก” ณัฐรวีเปลี่ยนเรื่อง
“ระดับนี้แล้ว ทำเสร็จตั้งแต่ปีมะโว้แล้วย่ะ” ปั้นดาวตอบ “ฉันว่าจะชวนแกไปเก็บมะม่วง เย็นนี้แม่ฉันจะทำน้ำปลาหวาน ของชอบแกไง”
“เอาสิ อยากกินอยู่พอดี แม่แกทำอร่อย”
คงจะมีเพียงครอบครัวเดียวในไร่ที่ให้ความเมตตาณัฐรวี แม้ว่าจะไม่ได้ให้ตรงๆ เพราะเกรงกลัวเจ้าของไร่ที่ชังน้ำหน้าหรือจะพูดได้ว่า เกลียดณัฐรวีเข้ากระดูกดำเขม่นเอา ต่อหน้าครอบครัวปั้นดาวทำนิ่งเฉย แต่ลับหลังทำประหนึ่งณัฐรวีเป็นลูกสาวคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
สองเพื่อนรักที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน กำลังลุกจากศาลาไม้ระแนงเพื่อไปเก็บมะม่วงตรงข้างไร่ชา แต่ยังไม่ทันลุกขึ้นยืนเต็มตัว เสียงชายคนหนึ่งได้ดังขึ้น
“รวี” เจ้าของชื่อหันไปทางต้นเสียง พบกับเอกวุฒิ ลูกน้องคนสนิทเมฆา เดินหน้านิ่งตามสไตล์มาหาณัฐรวี “คุณเมฆมาแล้ว เรียกหาแน่ะ”
ณัฐรวียิ้มแห้ง พยักหน้าช้าๆ
“เร็วด้วยนะ คุณเมฆอารมณ์ไม่ดี” เอกวุฒิพูดเชิงเตือน ใบหน้าณัฐรวีซีดลงถนัดตากับประโยคที่ได้ยิน หล่อนรีบสาวเท้าเดินเร็วกว่าปกติไปยังบ้านพักหลังใหญ่อยู่ห่างจากตรงนี้ราวสองร้อยเมตร
“เจ้านายพี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาอีกล่ะ ขยันกินจริงๆ เลยนะไอ้รังแตนเนี่ย โมโหทีไรมาลงที่รวีทุกที หัดพาเจ้านายไปเช็กสมองบ้างนะ ท่าจะบ้า”
ปั้นดาวพูดไม่กลัวเมฆาต่อหน้าเอกวุฒิ แต่จะว่าไป หล่อนคงไม่กล้าพูดประโยคนี้ต่อหน้าเมฆาแน่ๆ เพราะอาจตกงานไม่รู้ตัว อีกอย่างอาจถูกบิดามารดาแผ่นกบาลได้
“พูดดีไปเถอะ ระวังคุณเมฆจะได้ยิน” เอกวุฒิปราม
“ก็เพราะไม่ได้ยินไงถึงพูด พูดให้ได้ยินก็ซวยน่ะสิ” ปั้นดาวเด็กแก่แดดรู้ข้อนี้ดี “ว่าแต่ คุณเมฆไปกินรังแตนที่ไหนมาล่ะ เพื่อนแก่นจะโดนอะไรบ้างเนี่ย เป็นเพราะพี่เอกนั่นแหละ ไม่หัดดูเจ้านายดีๆ ปล่อยให้อารมณ์ไม่ดีอยู่ได้ทุกวัน”
“ไหงมาโทษกันล่ะ เวลาคุณเมฆอารมณ์ไม่ดีก็โดนกันทั้งนั้นแหละ แต่ที่โดนคนแรกคือรวีไง” เอกวุฒิพูดอีกก็ถูกอีก
“ไปดีกว่า”
“ไปไหนล่ะ”
“ไปเก็บมะม่วงให้แม่”
“งั้นพี่ไปด้วย จะได้ไปขอน้านากินมะม่วงน้ำปลาหวาน”
“ใครบอกว่าแม่จะทำน้ำปลาหวาน แม่อาจทำพริกกะเกลือก็ได้นะ” ปั้นดาวโต้กลับ
“ที่รู้เพราะน้านาฝากพี่ซื้อกุ้งแห้งไงล่ะ แค่นี้ก็รู้แล้ว”
“งั้นพี่เอกเป็นคนปีนขึ้นไปเก็บมะม่วง ส่วนหนูจะเป็นคนชี้นิ้วสั่ง ตกลงไหม”
หญิงสาวต่อรอง เอกวุฒิตอบตกลง ทั้งคู่จึงพากันเดินไปยังต้นมะม่วงลูกดก ที่ตอนนี้ออกผลเต็มต้น ขณะที่ปั้นดาวกำลังเดินไปยังจุดหมาย หล่อนก็อดห่วงเพื่อนรักไม่ได้ หากไม่ติดว่า พ่อแม่ทำงานที่นี่ เนาวรัตน์กับเมฆาไม่มีบุญคุณกับครอบครัวตน ป่านนี้ปั้นดาวอาจพาณัฐรวีหนีไปจากอเวจีแสนสวยแห่งนี้ ไปให้พ้นจากความเจ็บปวดที่เพื่อนรักเผชิญอยู่
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงนอนหันมองบานประตูห้องที่ค่อยๆ เปิดออกด้วยนัยน์ตาที่ไม่เป็นมิตรนัก คนที่ก้าวเข้ามาในห้องก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาเมฆาเท่าไหร่นัก เพียงแค่เดินเข้ามาหล่อนก็รับรู้ถึงพลังงานบางอย่าง กระตุ้นบอกจิตใต้สำนึกว่า ไม่น่าไว้วางใจ
“เดินให้มันเร็วๆ หน่อยได้ไหม” เมฆาตวาดเสียงดัง ณัฐรวีสะดุ้ง ก้าวเท้าเร็วขึ้น
“พี่เมฆเรียกรวี...” หล่อนยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงเข้มห้วนดังกลบเสียง
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่าพี่ ฉันไม่ใช่พี่เธอ” ความไม่พอใจฉายชัดทั้งในน้ำเสียงและสีหน้า “มานี่”
เขาตบมือลงบนที่นอนข้างตัวเต็มแรง ณัฐรวีกลัวน้ำเสียงและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ขาทั้งสองข้างจึงก้าวไม่ออก มันหนักเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะยกขึ้น และนั่นทำให้ชายเอาแต่ใจเกิดความหงุดหงิด วาดเท้าลงบนพื้นก้าวเดินมาหาหล่อนเพียงไม่กี่ก้าว
“พิรี้พิไรอยู่ได้ น่ารำคาญ” มือใหญ่จับท่อนแขนเรียวเล็กก่อนเหวี่ยงร่างงามไปบนที่นอน คร่อมร่างหล่อนไว้ “ทีหลังฉันเรียกก็ให้รีบมา ทำตัวเหมือนสาวบริสุทธิ์ไปได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นยิ่งกว่าอีตัว”
เมฆาไม่ออมคำพูด เขาสาดคำพูดเจ็บปวดใจโดยไม่สนใจว่า คนได้ยินจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจมากแค่ไหน เขาไม่สน เพราะความรู้สึกที่ณัฐรวีได้รับ น้อยกว่าที่เขากับมารดาเผชิญ
ณัฐรวีมองหน้าเมฆา ชายหนุ่มรูปงาม เรือนร่างบึกบึนสมชายชาตรี เขาเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบ ทั้งหน้าตา รูปร่างและฐานะ ไม่แปลกที่หล่อนมอบหัวใจให้เขา รู้ทั้งรู้ว่าจะไม่ได้ความรักนั้นกลับมา สิ่งที่ได้รับคือความปวดร้าวหัวใจ จิตใจบอบช้ำ เสมือนร่างกายที่ถูกเขาย่ำยีครั้งแล้วครั้งเล่า
ภาพความทรงจำครั้งก่อนหวนเข้ามาในหัว คืนวันที่ณัฐรวีถูกพรากความสาวด้วยน้ำมือชายไม่เห็นคุณค่า เป็นวันคืนที่หล่อนไม่มีทางลืมเลือน
วันนั้นเป็นวันศุกร์ เป็นวันฌาปนกิจศพเชษฐา ทุกคนออกจากบ้านเพื่อไปส่งเชษฐาขึ้นสวรรค์ ยกเว้นณัฐรวีที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงาน และถูกขังอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เวลาล่วงเลยไปกว่าสามทุ่ม หล่อนรู้สึกง่วงนอน กำลังเอนตัวลงนอนบนเตียงนอน แต่ก็ต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแทบไม่ทัน เมื่อประตูห้องเปิดออกและถูกปิดลงปังใหญ่ เสียงดังสนั่น ความตกใจเรื่องเสียงน้อยกว่า ภาพใบหน้าและท่าทางของเมฆาที่บอกถึงอันตราย