บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 สุนัขพึ่งพาบารมีคน

องครักษ์ไม่เข้าใจ ห้ามมีอนุ ทำไมถึงดึงเรื่องมากมายขนาดนี้มาเกี่ยวด้วยได้นะ

โม่จวินเย่กลับไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรมากนัก เพียงกล่าวกับองครักษ์อย่างเย็นชาว่า กลับไปบอกหยิ่นซู่ฮั่วว่า ขอแค่ยอมลงนามในหนังสือสัญญา จะปล่อยให้นางเข้ามาทางประตูหน้า

องครักษ์ออกไปพร้อมกับคำสั่งนาย ทว่าแววตาโม่จวินเย่กลับเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ

หยิ่นซู่ฮั่วผู้นี้น่าสนใจพอตัว

เพิ่งแต่งเข้ามาวันแรก พวกเขาก็ต้องแลกเปลี่ยนคำสัญญา และยังช่วยเป็นคนร้ายให้กับอีกฝ่าย ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ

เมื่อคำพูดของโม่จวินเย่ไปถึงหน้าจวน องครักษ์ที่เฝ้าอยู่บริเวณนั้นก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

“คำขอไร้มารยาทแบบนี้ ซื่อจื่อจะยอมรับจริงๆ เหรอ?”

หยิ่นซู่ฮั่วมีรอยยิ้มในดวงตา “ในเมื่อข้าสามารถยอมรับคำขอที่ไม่เพียงไร้มารยาทแต่ยังมากเกินไปของเขาได้ แล้วจะเรียกร้องจากเขาสักเรื่อง มันผิดตรงไหนล่ะ? วันนี้คนที่อยู่หน้าจวนอ๋องจงเป็นพยาน ข้าหยิ่นซู่ฮั่วหลังเข้าจวนหนิงอ๋องแล้ว จะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับจวนเฉิงเซี่ยงอีก ไม่มีทางคิดหรือทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหยิ่น และขอให้ซื่อจื่อจงจำไว้ ขอแค่ข้าหยิ่นซู่ฮั่วยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็อย่าหวังว่าจะได้มีอนุ”

หลังจากพูดจบ นางก็แย่งหนังสือสัญญามาจากมือองครักษ์ แล้วลงมือฉีกมัน ก่อนจะโปรยขึ้นฟ้า

“นี่เจ้าทำอะไร?” องครักษ์เรียกสติกลับคืนมาได้

“มีคนเป็นพยานเยอะถึงขนาดนี้แล้ว คำสัญญาเรื่องนี้ก็บรรลุผลแล้ว แล้วจะเอาหนังสือสัญญาที่ไม่มีความหมายฉบับหนึ่งกลับไปเผาที่บ้านทำไม? ข้าขอเตือนเจ้านะ ต่อไปเวลาพูดกับข้า ต้องเรียกข้าว่าซื่อจื่อเฟย คำว่า ‘เจ้า’ คำนี้ จะนำพาหายนะมาให้เจ้า”

การวางตัวของหยิ่นซู่ฮั่ว ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง

“ข้างหน้านำทางเลย”

ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้สติกลับมา หยิ่นซู่ฮั่วก็กล่าวกับแม่สื่อด้วยท่าทีใจเย็นแล้ว

แม้พวกองครักษ์จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ขวางทางอีก เลยได้แต่ปล่อยให้นางเข้าไป

โม่จวินเย่ไม่ได้ไปเข้าร่วมพิธีกราบไหว้ ขอแค่หยิ่นซู่ฮั่วยกชาคำนับหนิงอ๋องและพระชายา การแต่งนี้ก็ลุล่วงแล้วล่ะ

หยิ่นซู่ฮั่วไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เหมือนซื่อจื่อคนนี้จะพุ่งเป้ามาที่ตัวเองพอใช้ได้

สำหรับนาง งานแต่งในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้นางหนีออกมาจากจวนเฉิงเซี่ยงเท่านั้น เมื่อเขาไม่อยากมาเจอตัวเอง ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องไปเจอเขา

ดังนั้นนับตั้งแต่ต้นจนจบพิธี สีหน้าของนางจึงไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่เลย หรือแม้แต่ยังให้ความรู้สึกมีความสุขที่ได้หลุดพ้นจากความทุกข์อยู่หน่อยๆ ด้วย

หนิงอ๋องพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก แต่สุดท้ายโม่จวินเย่ก็ไม่มาร่วมงานเลย เขาเลยค่อนข้างกระอักกระอ่วน สุดท้ายก็รู้สึกผิดกับหยิ่นซู่ฮั่ว

รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่

นางมองสำรวจตัวหยิ่นซู่ฮั่ว เป็นหญิงงามล่มเมืองจริงๆ

รอยยิ้มบนใบหน้าหยิ่นซู่ฮั่วดูมั่นอกมั่นใจมาก เพราะนางไม่รู้สึกมีปมด้อย ที่ถูกพ่อตัวเองใช้ให้มาแต่งงานเพื่อขจัดสิ่งอัปมงคลเลยสักนิด

เมื่อออกมาจากจวนเฉิงเซี่ยงแล้ว นางก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

ในพิธียกน้ำชา นางก็รักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้

พระชายามองหยิ่นซู่ฮั่วด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น นางแอบมองสำรวจตัวหยิ่นซู่ฮั่ว คิดเพียงว่าลูกสะใภ้ตรงหน้าคนนี้สวยเกินไป!

นางเริ่มไม่เข้าใจแล้ว ว่าทางฝั่งจวนเฉิงเซี่ยงส่งลูกสาวล่มเมืองแบบนี้มาแต่งงานขจัดสิ่งอัปมงคลเพื่ออะไรกันแน่

หวังให้แต่งงานขจัดสิ่งอัปมงคลสำเร็จจริงๆ ทำให้เจ้าขี้โรคนั่นอาการดีขึ้นมาหรือไง?

“ต้องให้เจ้าน้อยใจแล้ว”

พระชายารับน้ำชามาจากหยิ่นซู่ฮั่ว พลางถอนหายใจ

“ไม่น้อยใจเพคะ”

เพราะคำพูดประโยคนี้ หยิ่นซู่ฮั่วเลยเริ่มรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวแม่สามีคนนี้

เมื่อท่านอ๋องเห็นภาพนี้แล้ว ก็หัวเราะเบาๆ พลางสั่งว่า “เอาล่ะ พาซื่อจื่อเฟยออกไปเถอะ!”

หยิ่นซู่ฮั่วสดใสร่าเริงเคลื่อนไหวอย่างอิสระเสรี เมื่อเข้ามานั่งในห้องหอแล้ว ก็มองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ

มีความเป็นราชวงศ์อยู่จริงๆ บรรยากาศระดับไฮเอนด์ อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่น โต๊ะและเก้าอี้ทุกตัวหรูหราซะไม่มี

หมิงหรุ่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ สำหรับนาง คุณหนูของพวกนาง แค่ออกมาจากถ้ำเสือแล้วมาอยู่ในรังหมาป่าเท่านั้น สภาพความเป็นอยู่ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่

“หมิงหรุ่ย ควรดีใจถึงจะถูกนะ อย่างน้อยพอออกมาจากรังเสือรังจิ้งจอกนั่นแล้ว เราก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้” หยิ่นซู่ฮั่วกล่าวเบาๆ

เดิมทีหมิงหรุ่ยที่เติบโตมาพร้อมกับตัวเอง ถูกแม่เลี้ยงคุมตัวไว้ในจวนเฉิงเซี่ยง

ก่อนออกเรือน หยิ่นซู่ฮั่วขู่นางว่าหากไม่ให้พาหมิงหรุ่ยไปด้วย ตัวเองจะไม่ออกเรือน ถึงช่วยหญิงรับใช้ผู้นี้ออกมาได้

ก่อนหน้านี้รักษาคนที่แม่ทิ้งไว้ให้ตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้พวกเขาถูกข่มเหงคนแล้วคนเล่า เป็นเพราะนางไม่มีปัญญาเอง

นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป นางจะไม่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว

“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเพคะ?” หมิงหรุ่ยรู้สึกมึนงงกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของหยิ่นซู่ฮั่ว

“นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ใช่ข้าอีกต่อไป” หยิ่นซู่ฮั่วกล่าวอย่างมีเลศนัย

หมิงหรุ่ยยังอยากถามอะไรอีกหน่อย แต่กลับถูกหยิ่นซู่ฮั่วขัดจังหวะซะก่อน “คืนนี้ท่านซื่อจื่อคนนั้นคงไม่มาแล้วล่ะ พวกเรามามาสก์หน้า แล้วก็เข้านอนไวหน่อยเถอะ”

หยิ่นซู่ฮั่วหยิบมาสก์หน้าที่ตนเองใช้บ่อยๆ ออกมาจากร้านยา นางทำมันเองกับมือ มีแต่ส่วนผสมของสมุนไพรล้วนๆ

ณ ห้องโม่จวินเย่ องครักษ์กำลังรอคำสั่งอยู่ที่นั่น

“ท่านซื่อจื่อ เมื่อกี้ท่านอ๋องส่งคนมาเตือน พิธีกราบไหว้ยังพอยกเว้นได้ แต่ห้องหอยังไงก็ต้องไปดูหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

“ในเมื่อนางกล้าเข้ามาในจวนหนิงอ๋อง งั้นก็ต้องเตรียมใจที่จะถูกทอดทิ้งไว้แล้ว”

ท่าทางของโม่จวินเย่เรียบนิ่งมาก ราวกับว่าวันนี้เป็นงานแต่งของคนอื่น

“แล้วทางซื่อจื่อเฟย……”

โม่จวินเย่ไม่เงยหน้ามองด้วยซ้ำ “คิดซะว่าเลี้ยงคนว่างงานไว้ในจวน กินอยู่ข้าวของเครื่องใช้อะไรห้ามขาดล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ แล้วถ้าท่านอ๋องถามถึง……” องครักษ์เองก็ค่อนข้างลำบากใจ

ท้ายที่สุดโม่จวินเย่ก็เงยหน้าขึ้น แต่แววตากลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม “ถ้าข้าอยากไป ข้าย่อมไปเอง……”

องครักษ์ไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะขอแค่ไม่ใช่เรื่องที่ทำลายชื่อเสียงจวนอ๋อง ท่านอ๋องก็จะไม่ถามถึงด้วยซ้ำ

ถึงท่านซื่อจื่อจะทำลายจวนอ๋อง ตราบใดที่ท่านซื่อจื่อปิดปากทุกคนได้ ไม่ให้ใครจับผิดได้ ท่านอ๋องก็จะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หมิงหรุ่ยมองหยิ่นซู่ฮั่วเอาของเหนียวๆ ดำๆ มาทาบนหน้าตัวเอง แม้จะอ้าปากแต่นางก็พูดไม่ออก

“คุณหนู ทำไมท่านต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้ด้วย……” หมิงหรุ่ยไม่เข้าใจว่ามาสก์หน้าคืออะไร

หยิ่นซู่ฮั่วมองตัวเองในกระจก นางพอใจมาก แต่กลับไม่ลืมที่จะช่วยแก้คำเรียกให้หมิงหรุ่ย “ต่อไป ห้ามเรียกข้าว่าคุณหนู ต้องเรียกว่าซื่อจื่อเฟย”

หมิงหรุ่ยกำลังจะขานรับ แต่กลับมีเสียงแทรกเข้ามาก่อน นางตกใจจนตัวสั่น เพราะตอนนี้ประตูถูกคนถีบให้เปิดออก

หยิ่นซู่ฮั่วพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพราะการกระทำนี้มันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังไม่เห็นซื่อจื่อเฟยอย่างนางอยู่ในสายตา!

หมิงหรุ่ยหันไปเห็นหญิงแก่(อารมณ์ร้าย)ในชุดผ้าไหม ปักปิ่นเงิน และยังมีหญิงรับใช้กำลังถือของเข้ามาอีกสองคน

ขณะมองหญิงแก่ผู้นี้ หมิงหรุ่ยก็ได้แต่เก็บความโมโหไว้ในใจ เพราะหญิงแก่นี่ไม่เห็นซื่อจื่อเฟยอยู่ในสายตาเลย!

ทันใดนั้นหญิงแก่ก็ฉีกยิ้ม มองหยิ่นซู่ฮั่วที่กำลังหันหลังให้ตัวเองเพราะนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก ก็แค่ซื่อจื่อเฟยที่แต่งมาขจัดสิ่งอัปมงคล จะวางมาดอะไร?

เมื่อเห็นว่าท่านซื่อจื่อไม่อยู่ หญิงแก่ก็หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ เป็นอย่างที่พระชายาคาดไว้จริงๆ ซื่อจื่อไม่ได้ชอบพอในตัวซื่อจื่อเฟยผู้นี้!

“ซื่อจื่อเฟยไม่ต้องรอแล้วล่ะ คืนนี้ท่านซื่อจื่อไม่มาแล้ว ยังไงก็กินอะไรหน่อยเถอะ!”

หญิงแก่หยิบของมาจากมือหญิงรับใช้ หลังวางบนโต๊ะด้วยเสียงดัง ปัก แล้ว พวกบรรดาน้ำแกงก็กระเด็นเลอะชุดหยิ่นซู่ฮั่ว

เมื่อครู่ตอนนางเข้ามาในห้องไม่ได้เคาะประตู ยิ่งไม่ได้ถูกขานเรียก และยังถีบประตูเข้ามาอีก หยิ่นซู่ฮั่วเลยกำลังโมโหควันออกหู

“นี่เจ้ารนหาที่ตายหรือไง?” เสียงอันเยียบเย็นของหยิ่นซู่ฮั่วพลันดังขึ้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel