บท
ตั้งค่า

Chapter 5

ปรมัตถ์ วิสิษฐ์ยุทธศาสตร์ หรือ บอม เป็นลูกชายคนที่สามของ พันเอกอภิวิชญ์ วิสิษฐ์ยุทธศาสตร์ โดยในบรรดาพี่น้องทั้งสิบคน มีเพียงเขาคนเดียวที่มีพลังในการควบคุมธาตุลม ที่พันเอกอภิวิชญ์รู้เพราะในวันที่ปรมัตถ์ลืมตาดูโลกก็เจอตราประทับตรงท่อนแขนขวา อันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุลมทำให้ทหารหนุ่มเชื่อว่าลูกชายคนนี้ มีพลังแบบเดียวกับ พลตรีหานยี ย่าทวดของปรมัตถ์เพราะอีกฝ่ายก็มีตราประทับแบบเดียวกัน ตามคำบอกเล่าที่พันเอกอภิวิชญ์ได้ยินสมัยเด็กคือ ย่าทวดแม้จะไม่ใช่นักรบฟีนิกซ์ทว่ากลับมีฝีมือฉกาจแถมยังสามารถเอาชนะนักรบฟีนิกซ์ได้ถึงสองคน แต่ที่ทำให้ย่าทวดมีชื่อเสียงมากในยุคที่ยังมีชีวิตอยู่คือ พลตรีหญิงคนนี้ได้คิดค้นวิชาต่อสู้ขึ้นซึ่งมันมีไว้สำหรับผู้มีพลังธาตุลม โดยพลตรีหานยีตั้งชื่อให้กับวิชานี้ว่า หัตถ์เทวะ ช่วงปั้นปลายในชีวิตเธอได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ว่า หากลูกหลานคนไหนก็ตามที่มีตราสัญลักษณ์แบบเดียวกัน ก็ให้มอบเคล็ดวิชาดังกล่าวนี้แก่ลูกหลานคนนั้น แต่หลังจากที่พลตรีหานยีเสียชีวิตไปก็ไม่มีลูกหลานคนไหนเกิดมามีตราประทับเลย จนกระทั่งมาถึงวันที่ปรมัตถ์เกิดแต่ถึงกระนั้นตามคำสั่งเสียสุดท้ายบนหน้ากระดาษคือ หัตถ์เทวะจะต้องส่งมอบนี้ให้ตอนที่ลูกหลานคนนั่นมีอายุครบสิบห้าเท่านั้น

+++++++++++++++++++++

ปัจจุบัน

ที่ด้านในสุดของค่ายฝึกสำหรับยุวชนทหารที่ได้รับพรจากลูกแก้วฟีนิกซ์ จะมีโรงฝึกกว้างใหญ่เหมาะสำหรับการฝึกวิชาต่อสู้หรืออาวุธต่าง ๆ รวมทั้งการฝึกใช้พลังไฟธาตุของแต่ละคนอีกด้วย การฝึกเหล่านี้ล้วนเป็นความลับจึงไม่มีการอนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้ามา นับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลับราชการที่สุดของกองทัพเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ดีด้านปรมัตถ์เองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจ เดินมายังบริเวณนี้แทนที่จะกลับห้องพักเพื่อจัดเตรียมของเพื่อไปทำภารกิจในวันพรุ่งนี้ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากทำความรู้จักกับเพื่อนทั้งสามคนที่จะมาทำภารกิจร่วมกับตน ถึงแม้โทรจิตที่ได้รับมาจากลูกแก้วฟีนิกซ์จะทำให้ปรมัตถ์รู้ว่า ทั้งสามคนมีชื่อแส่นามว่าอะไรและสังกัดทีมเดียวกันแต่ตามความจริง ปรมัตถ์ไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับอีกฝ่ายเลยซึ่งมันก็ทำให้เขามีความกังวลไม่น้อย ตอนนี้ปรมัตถ์กำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าสู่โรงฝึกที่ทั้งสามคนอยู่พอดี เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอามือทั้งสองผลักบานประตูออกไป ภาพเบื้องหน้าของเขาคือเด็กหนุ่มสามคนที่กำลังวอร์มร่างกายกันอยู่ และยังไม่รู้ว่าได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในโรงฝึก

ปรมัตถ์ยืนมองเด็กหนุ่มทั้งสามที่อยู่กลางลานโรงฝึกอยู่ห่าง ๆ เขาจับจ้องมาที่เด็กหนุ่มซึ่งยืนทางขวามือ กำลังยกดัมเบลสีดำขึ้น-ลงเพื่อฝึกมวลกล้ามเนื้อแขนและข้อมือ เด็กหนุ่มคนนั่นไว้ผมเกรียณสวมเสื้อกีฬาสีขาวและกางเกงวอร์มสีดำยาว บุญธร ยุติธรรมธร หรือ ธร อยู่รุ่นที่สี่ร้อยยี่สิบสี่เหมือนกับปรมัตถ์ สูงกว่าเขาเล็กน้อยและมีร่างกายกำยำกว่าในการทดสอบทักษะการต่อสู้ การเคลื่อนไหวของบุญธรไม่ใช่แค่รวดเร็วเท่านั้นแต่พลังโจมตียังรุนแรงมากอีกด้วย ไม่ถึงสองชั่วโมงดีบุญธรสามารถจัดการกับหุ่นดรอยด์ต่อสู้นอนราบกับพื้น คนถัดจากบุญธรเป็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อวอร์มสีแดงและกางเกงวอร์มยาวสีดำ ซึ่งกำลังยกดัมเบลขนาดใหญ่ที่ต้องใช้สองมือยกขึ้นและลง คณณัฐ์ ธนสารทรัพย์ หรือ คูณ อยู่รุ่นสี่ร้อยยี่สิบสี่เช่นกันแต่ในด้านความแตกต่างคือ คณณัฐ์ใช้อาวุธประจำกายคือหอกเล่มยาวเหนือศีรษะเล็กน้อย รองลงมาจากหอกก็คงเป็นปืนลูกโม่ Colt Python มีพลังทำลายสูงมากเมื่อประกอบกับพลังไฟธาตุของคณณัฐ์ด้วย แต่น้อยมากที่อีกฝ่ายจะใช้ปืนกระบอกนี้ออกมาสู้เพราะแค่หอกก็สามารถปลิดชีพศัตรูได้แล้ว แม้จะไม่ได้ประจักษ์ด้วยสายตาของตนเองแต่ปรมัตถ์ก็ได้ยินมาบ้างว่า คมหอกของคณณัฐ์มันร้ายกาจมากแค่ไหน

คนสุดท้ายซึ่งกำลังวิดพื้นอยู่ ปกรณ์วุฒิ อักษรศรี หรือ ปลื้ม หมอนี้ปรมัตถ์เจอครั้งแรกเมื่อครั้งตอนสมัยที่เขาเข้ารับพิธีกรรมการคัดเลือกนักรบฟีนิกซ์ โดยปกรณ์วุฒิอยู่แถวเดียวกับเขาแต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีก จนกระทั่งพบกันอีกครั้งก็ตอนสมัครเข้าทดสอบคัดเลือกหน่วยรบพิเศษนี้เอง ด้านฝีมือเขาก็พอเห็นมาบ้างโดยจุดเด่นของปกรณ์วุฒิคือ กำไลเหล็กที่เขาสวมไว้ที่แขนข้างล่ะห้าวงซึ่งหากปกรณ์วุฒิใช้ไฟธาตุอรุณ กำไลทั้งสิบวงจะกลายสภาพกลายเป็นกำไลเรืองแสงสีทองในทันที มันช่วยได้ทั้งป้องกันและโจมตีอีกด้วยยิ่งทำให้ปรมัตถ์สงสัยว่า ในภารกิจที่จะต้องไปทำในวันพรุ่งนี้ฝีมือของอีกฝ่ายพัฒนาไปมากแค่ไหน ระหว่างที่ปรมัตถ์มัวแต่จมอยู่กับความคิดของตนเอง จึงไม่ทันได้สังเกตว่าทั้งสามรู้แล้วว่ามีผู้มาเยือนในโรงฝึกแห่งนี้แล้วและพากันมองมาทางปรมัตถ์เป็นตาเดียว และบุญธรตัดสินใจตะโกนพูดขึ้นว่า "บอม นั่นนายเหรอ" เสียงทักของอีกฝ่ายเรียกสติของปรมัตถ์กลับมา และเด็กหนุ่มก็โบกมือทักทายอีกฝ่ายพร้อมกับเดินมาสมทบ "หวัดดี ธร คูณ ปลื้ม" พูดทักทายแล้วก็กลายเป็นว่าต่างคนต่างเงียบงันไปเสียอย่างนั้น

"อะไรกัน นึกว่าพวกนายจะทำความรู้จักกันมากขึ้นซะอีก" เสียงทักดังขึ้นส่งผลให้ทั้งสี่คนพร้อมกันหันไปมองต้นเสียง ซึ่งเจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารชั้นประทวน ทว่าถึงกระนั้นก็ถือว่ายศสูงกว่าพวกเขาที่ยังเป็นแค่ยุวชนทหาร จึงทำให้ทั้งหมดพากันลุกขึ้นทำความเคารพทันที ด้านทหารหนุ่มก็โบกมือเป็นเชิงห้ามปราม "ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ ตามสบายเถอะ" 

"พึ่งประชุมเสร็จเหรอครับ พี่เอไลจาห์" คณณัฐ์ถามด้วยความสงสัย

"อืม ใช่" ทหารหนุ่มเจ้าของชื่อ เอไลจาห์ ตอบและมานั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

เอไลจาห์ เจนคินส์ เป็นทหารรุ่นพี่จากทีมเดมอนรุ่นสี่ร้อยยี่สิบเอ็ด และยังทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือเป็น "แก่นกลาง" ของหน่วยรบฟีนิกซ์ซึ่งจะมีหน้าที่คอยซัพพอร์ดสมาชิกจากทีมจู่โจมทั้งหกทีมในการทำภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจเดี่ยว ภารกิจทีม หรือภารกิจร่วมแน่นอนว่าภารกิจที่พวกปรมัตถ์ต้องไปทำก็เป็นเอไลจาห์เช่นกัน ที่อาจจะมาคอยให้ความช่วยเหลือตลอดการทำภารกิจของทั้งสี่คน

"พี่คือคนที่เสนอพวกผมให้ ผบ.ใช่ไหม" ปรมัตถ์ถามตรง ๆ 

"ใช่ จากบรรดาคลิปวีดีโอการบันทึกการทดสอบทักษะจำนวนร้อยกว่าคลิป" เอไลจาห์ตอบตามตรง "แต่ตามจริงฉันอยากให้มีคนไปทำภารกิจนี้จริง ๆ เจ็ดคนแต่คนดันไม่พอเสียได้" 

"แหม... ผมพึ่งกลับจากสมรภูมินรกแตกนั้นไม่กี่เดือนทางเบื้องบนก็รีบส่งผมไปทำงานทันทีเลย" ปกรณ์วุฒิบ่นอุบเล็กน้อย

"โทษทีนะ ปลื้ม มันคนไม่พอจริง ๆ แต่ไม่ต้องห่วงหลังจบภารกิจนี้แล้วทางเบื้องบนจะให้พวกนายได้พักยาว ๆ หนึ่งเดือนเต็มไปเลย" เอไลจาห์บอกและก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ "เอาล่ะ นี้อาจเป็นครั้งแรกที่พวกนายได้คุยกันแบบจริง ๆ จัง งั้นเรามากระซับมิตรกันมากขึ้นหน่อยไหม"

เด็กหนุ่มทั้งสี่หันหน้ามองกันและหันกลับมาที่ทหารหนุ่มอีกรอบ

"ยังไงครับ"

+++++++++++++++++++++

แม้จะเพียงแค่วันเดียวแต่สำหรับทั้งสี่คนก็ขอใช้ให้มันคุ้ม ก่อนที่จะต้องไปลุยท้าชนกับพวกแก๊งขวานซิ่ง โดยเอไลจาห์พาพวกเขามายังร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พักมากนัก ซึ่งปรมัตถ์จำได้ว่าเคยมากินกับพี่ ๆ ในสมัยยังเป็นยุวชนทหารรุ่นเล็ก ไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีกเพียงแต่ครั้งนี้เขามากินกับเพื่อนใหม่และทหารรุ่นพี่ ทั้งหมดเดินเข้ามานั่งตรงริมหน้าต่างของร้านเพื่อมองวิวด้านนอกได้ถนัดตา พนักงานเดินเข้ามาให้บริการด้วยการมอบเมนูรายการอาหารและเครื่องดื่มแก่พวกเขา เอไลจาห์สั่งกาแฟดำธรรมดาส่วนอีกสี่คนขอเป็นของหวานอย่างไอศกรีม พนักงานจดรายการบนกระดาษแผ่นหนึ่งก่อนจะเดินไปที่เคาร์เตอร์ ระหว่างนั้นสายตาของพวกเขาก็หันไปเห็นหน้าข่าวบนจอโทรทัศน์ มันเป็นข่าวของ เจ้าหญิงท็อกฮเย แห่งแคว้นคูรยอที่พึ่งจะได้รับอิสระภาพ หลังจากตกเป็นองค์ประกันที่จักรวรรดิอิไพรัสมาเป็นเวลานานตั้งแต่พระองค์ยังพระเยาว์ ซึ่งตอนนี้เจ้าหญิงก็มีพระชนม์ได้สิบเจ็ดพรรษา ในข่าวเป็นเหตุการณ์ที่เจ้าหญิงท็อกฮเยกำลังเดินออกมาจากสนามบิน พร้อมด้วยการรายล้อมจากเหล่านักข่าวที่เข้ามาขอสัมภาษณ์ ปรมัตถ์ได้ยินเสียงของบุญธรพูดว่า "ไร้มารยาทเป็นบ้า" ซึ่งเขาเห็นด้วย

"เจ้าหญิงมีอะไรอยากพูดไหมพ่ะย่ะค่ะ" นักข่าวชายคนหนึ่งถามขึ้น

เด็กสาวผู้มีฐานะเป็นถึงเจ้าหญิงหยุดชะงักและหันมาเผชิญหน้ากับเหล่านักข่าว ทำให้มองเห็นเธอได้ชัดเจนซึ่งปรมัตถ์ยอมรับว่าเจ้าหญิงท็อกฮเยหน้าตาสละสลวยและมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง เจ้าหญิงไว้ผมหางม้าสีดำยาวเลยหัวไหล่เล็กน้อย ผิวขาวนวลเหมือนกับไข่มุกจากใต้ทะเลแต่สายตาก็ดุดันและแข็งขันเหมือนดั่งชายชาตรี "เราในฐานะตัวแทนของแคว้นคูรยอ... เราขอขอบคุณเหล่าสัมพันธมิตรที่เข้ามาช่วยปลดปล่อยประเทศของเราจากการตกเป็นอาณานิคมของทรราชมายาวนาน เราจะไม่ลืมพระคุณในครั้งนี้" พูดจบเจ้าหญิงก็ก้มหัวโค้งเพื่อขอบคุณกองทัพสัมพันธมิตรต่อหน้าสื่อมากมาย ทว่าสิ่งที่ปรมัตถ์และคนอื่นต้องพากันขมวดคิ้วต่อจากนี้คือประโยคสุดท้ายที่พระองค์พูดทิ้งท้ายไว้ "หวังว่าเราจะได้พบกันอีก" ไม่ใช่แค่พวกเขาที่กำลังดูอยู่พวกนักข่าวมากมายก็คงจะสงสัยเช่นกันว่าเจ้าหญิงกำลังพูดถึงใคร แต่คงจะไม่ได้รับคำตอบง่าย ๆ เพราะมีบอดี้การ์ดโผล่มาขีดขวางไม่ให้นักข่าวเข้าใกล้มากกว่านี้ จากนั้นภาพก็ตัดไปเป็นข่าวภายในประเทศโดยตอนนี้นักข่าวได้รายงานถึงสถานการณ์ดุเดือด ที่เกิดขึ้นในเมืองเมตน์สงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลกับแก๊งอาชญากร ซึ่งนำโดยแก๊งขวานซิ่งสถานการณ์ล่าสุดมีเจ้าหน้าที่และพลเรือนได้รับบาดเจ็บมากมาย

ถึงตอนนี้ก็เหมือนทำให้ปกรณ์วุฒินึกอะไรบางอย่างได้จึงหันไปทางเอไลจาห์ "พี่ครับ ถ้าพวกผมต้องไปทำภารกิจที่เมืองโฮรุก แล้วที่เมืองเมตน์เป็นภารกิจของใครครับ" 

"ปาร์คซูโฮกับฮาจองอู อยู่รุ่นเดียวกับพวกเรา" ปรมัตถ์เป็นคนตอบแทน

เอไลจาห์หันมามองปรมัตถ์ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่บุญธรถามต่ออีกว่า "แค่สองคนเองเหรอ มันจะพอเหรอทางฝั่งเมืองเมตน์กองกำลังไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ" คำถามนี้ก็เป็นเอไลจาห์ที่ตอบ "คนมันไม่พอนี่หว่า ช่วยไม่ได้คนอื่นยังติดพันที่จักรวรรดิเปรเซียร์อยู่เลยแต่อย่างน้อยก็มีกองกำลังตำรวจไปด้วยคงไม่เป็นอะไรหรอก" เด็กหนุ่มทั้งสี่ต่างเงียบไม่มีใครพูดอะไรโดยเฉพาะกับปรมัตถ์ ถึงจะไม่สนิทกันมาแต่เขาไม่มีวันลืมคือวันที่ได้เห็นพลังทำลายจากกำปั้นขวาของ ปาร์คซูโฮ ปรมัตถ์เชื่อว่าสำหรับพวกแก๊งขวานซิ่งที่อยู่เมืองเมตน์ในเขต O-11 ถือว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่รับมือยากพอสมควร ผ่านไปสักพักพนักงานก็นำไอศกรีมมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเขา ทว่าปรมัตถ์กลับไม่รู้สึกอยากของหวานขึ้นมาเสียอย่างนั้น ความกังวลอะไรหลาย ๆ อย่างประดั่งเข้ามามากมายจนเขาไม่รู้จะจัดการมันยังไง เอไลจาห์ที่สังเกตเห็นพอดีจึงเอามือตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ คล้ายเหมือนจะส่งกำลังใจให้จนกระทั่งประโยคที่หลุดจากปากรุ่นพี่ ที่ปรมัตถ์ได้ยินแล้วนึกอยากเอาส้นเท้าถีบยอดหน้าเสียจริง

"ไม่ต้องกังวลหรอก อย่ามากนายแค่จมตีนพวกมันแค่นั้นแหละ"

+++++++++++++++++++++++

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel