Chapter 4
ปรมัตถ์เดินตามพันเอกฟางผิงเข้ามาในอาคารที่ทำการของศูนย์บัญชาการ ทั้งสองขึ้นลิฟท์มายังชั้นเก้าแล้วเดินไปทางขวามือ แล้วเมื่อเดินมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงที่หมาย มันเป็นห้องประชุมทำงานขนาดเล็ก พันเอกฟางผิงเดินเข้ามาคนแรกก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะคนในห้องมี สารวัตรชาญฉลาดจากกรมปราบปรามอาชญากรรม คนต่อมาคือ พลตำรวจเอกรูฟิโน่ อามารัล ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันที่กำลังจะเกษียณราชการในปีหน้า หมวดปาร์คฮันซอและหมวดหลี่เอินไหลนั่งติดกัน ฝั่งตรงข้ามกับสารวัตรชาญฉลาดเป็นบุคคลจากกองทัพซึ่งมี พันเอกกาเวน อามารัล ตัวแทนจากผู้บัญชาการสูงสุดของทัพบก ลูกชายคนเล็กของพลตำรวจเอกรูฟีโน่ และคนสุดท้าย พันเอกหยางเจี้ยนหลง เจ้าของตำแหน่ง "เทพแห่งสงคราม" และเป็นผู้บัญชาการสามหน่วยรบพิเศษกองพันฟีนิกซ์ ปรมัตถ์ทำความเคารพต่อผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ทั้งหมดส่วนพันเอกฟางผิงเดินมานั่งอยู่มุมหลังปรมัตถ์ตามมานั่งด้วย เมื่อทุกคนมากันครบแล้วสารวัตรชาญฉลาดจึงนำแฟลซไดร์ฟมาวางไว้ตรงแทปเล็ต ซึ่งมันคืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและมันก็ฉายภาพบนหน้าจอ
สารวัตรชาญฉลาดได้อธิบายว่าหลังจากที่สวี่ชิงหยู่หลบหนี มาอยู่ใต้การคุ้มครองของกรมปราบปรามโดยแลกกับการเป็นพยานในการทำผิดกฎหมายของสวี่จินหยวนผู้เป็นพ่อ สามชั่วโมงต่อมาทางกองปราบปรามที่ประจำอยู่เมืองเมตน์ ได้ส่งข้อความขอกำลังเสริมเนื่องจากถูกโจมตีโดยแก๊งขวานซิ่งที่นำโดย สวี่เทียน ตุลาการของแก๊งขวานซิ่ง ที่ตอนนี้ได้สังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจกับทหารไปหลายนาย ส่งผลให้ "พันตำรวจเอกจางแทซุง" หรือ "ผู้กำกับจางแทซุง" ผู้บัญชาการกองปราบปรามอาชญากรประจำเมืองเมตน์ ต้องล่าถอยออกมาปิดตายตามทางเข้า-ออกของเมือง ประชาชนบางส่วนหลบหนีออกมาได้แต่ก็ยังมีบางส่วนติดอยู่ข้างใน ทางผู้กำกับจางแทซุงแจ้งว่ามีการขอความช่วยเหลือจากในเมือง แต่ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้เนื่องจากกำลังตำรวจและทหารที่อยู่ใต้สังกัดของ "ร้อยเอกไรอัน" มีไม่มากพอที่จะเข้าไปช่วยได้ ล่าสุดตอนนี้ทางเบื้องบนอนุมัติคำสั่งภารกิจทลายอำนาจแก๊งขวานซิ่ง ทว่าข้อมูลอีกอย่างที่สารวัตรชาญฉลาดได้รับมาจากหมวดหลี่เอินไหลคือ แก๊งขวานซิ่งมีทั้งหมดสองสาขาโดยสาขาใหญ่เป็นของสวี่จินหยวนที่ตอนนี้สวี่ฮั่วขึ้นมาเป็นผู้นำ
ส่วนแก๊งสาขาสองเป็นของสวี่หมิงล่างลูกชายนอกสมรสของสวี่จินหยวน แต่เนื่องจากตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในเรือนจำอำนาจการตัดสินใจ จึงตกเป็นของสวี่เฟิ่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของสวี่หมิงล่าง ตอนนี้เมืองโฮรุกก็อาจจะลุกเป็นไฟในไม่ช้าเนื่องจากมันอยู่ติดกับเมืองเมตน์ ล่าสุดที่สายข่าวส่งข้อมูลมาคือไม่กี่วันก่อน สวี่เฟิ่งนำกองกำลังบุกเรือนจำเพื่อพาตัวสวี่หมิงล่างออกมา แถมที่สำคัญพวกเขายังพบว่าพวกมันจ่ายสินบนให้กับ "สารวัตรคิมการัม" หัวหน้ากองปราบปรามอาชญากรประจำเมืองโฮรุก ผบ.ตร.รูฟิโน่กัดฟันกรามด้วยความโกรธพร้อมพูดว่า "ไอ้ตัวเลี้ยงเสียข้าวสุกเอ้ย" ทุกคนต่างหันมามอง ผบตร.ที่กำลังจะเกษียณในปีหน้าเป็นตาเดียว เจ้าตัวที่รู้ตัวก็รีบอธิบาย "โทษที บังเอิญมันเคยเป็นนักเรียนในห้องที่ฉันเคยสอนมาก่อนน่ะ" จากนั้นเขาก็ส่งมอบเอกสารบางอย่างให้กับสารวัตรชาญฉลาด มันคือเอกสารมอบอำนาจและรายชื่อของตำรวจคนใหม่ ที่จะได้ประจำการแทนสารวัตรคิมการัม และตำรวจคนนั่นเป็นผู้ทำหน้าที่นำภารกิจออกกวาดล้างแก๊งขวานซิ่งของสวี่หมิงล่างด้วย
"แล้วผมต้องไปประจำการเมืองไหนครับ" ปรมัตถ์ยกมือถามด้วยความสงสัย
พันเอกฟางผิงหันขวับมามองลูกศิษย์ของตนเอง "อยากลุยใจจะขาดแล้วสินะ"
ด้านผบตร.รูฟีโน่หัวเราะชอบใจเล็กน้อย "เห็นเจ้าหนุ่มนี้แล้วนึกถึงสมัยผมที่ยังเป็นยุวชนตำรวจเลย" จากนั้นก็หันไปหาสารวัตรชาญฉลาด "ให้คำตอบกับเขาหน่อยสิ สารวัตร"
"ผมให้เขาอยู่ทีมเดียวกับผู้กองหลิวเสี่ยวเสี่ยว" สารวัตรชาญฉลาดตอบ "ตอนนี้ผู้กองหลิวกับทีมเดินทางไปเมืองโฮรุกเรียบร้อยแล้ว แล้วเดี่ยวจะมีหน่วยรบพิเศษ Silver Dagger ตามไปสมทบด้วยนายก็ไปกับพวกเขาได้"
ปรมัตถ์ชะงักเมื่อได้ยินชื่อหน่วยรบพิเศษดังกล่าว นอกจากสามหน่วยรบพิเศษของกองพันฟีนิกซ์แล้วก็มีหน่วยรบพิเศษอื่นด้วย หนึ่งในนั้นคือ หน่วยรบ Silver Dagger สังกัดอยู่กองพลทหารจู่โจม 12 มีขีดความสามารถไม่แพ้หน่วยรบฟีนิกซ์ที่ปรมัตถ์สังกัดอยู่ ปัจจุบันตำแหน่งผบ.ของหน่วยรบนี้คือ พันเอกอัลฟงซ์ ตามที่พันเอกกาเวนบอกว่าตอนนี้ทางหน่วยรบ Silver Dagger จะส่งทีมชาลีไปสมทบ ส่วนฝั่งพันเอกเจี้ยนหลงได้ตัดสินใจที่จะส่งทหารในสังกัดหน่วยรบฟีนิกซ์อย่างน้อยสี่คนไป เนื่องจากกำลังพลของสามหน่วยรบกำลังติดภารกิจทำสงครามกับฝั่งตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ อย่างไรก็ตามสารวัตรชาญฉลาดก็ได้ให้ข้อมือเพิ่มเติมต่ออีกว่า ปราการแรกที่พวกเขาจะต้องเจอก็คือสองพี่น้องนามว่า สุธน ปลาทอง และ สุทัศน์ ปลาทอง สุนัขผู้ภักดีต่อสวี่หมิงล่าง ทว่าอันที่จริงแล้วตระกูลปลาทองก็เป็นลูกสมุนของแก๊งขวานซิ่งมาช้านาน จนกระทั่งมาถึงยุคของ อิชย์ ปลาทอง ที่ภายหลังหันมาสวามิภักมิ์กับสวี่หมิงล่าง ส่งผลให้ลูกชายทั้งสองติดตามสวี่หมิงล่างนับแต่นั้น พูดจบสารวัตรชาญฉลาดก็โชว์ภาพถ่ายของสวี่หมิงล่างและผู้ติดตามบนหน้าจอให้ทุกคนดู
สวี่หมิงล่างเป็นชายวัยฉกรรจ์อายุราว ๆ สี่สิบปี สีผิวเข้มเหมือนโดนแดดเผาและสวมชุดสูทสีขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในท่วงท่านั่งไขว้ห้างดูน่าเกรงขามไม่แพ้สวี่จินหยวนผู้เป็นพ่อ ฝั่งขวามือด้านหลังของสวี่หมิงล่างเป็นชายหนุ่มที่อายุประมาณสี่ยิบห้าถึงยี่สิบหก ยังไม่ถึงสามสิบไว้ทรงผมแสกข้างสวมแว่นตาสีดำ สวมชุดสูทสีดำทั้งตัวยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง สารวัตรชาญฉลาดได้ใช้แสงเลเชอร์ชี้ไปที่ชายหนุ่มชุดสูทสีดำ พร้อมกับบอกทุกคนในห้องประชุมว่า "นี้คือ สวี่เฟิ่ง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของสวี่หมิงล่าง" และเล่าถึงวีรกรรมของสวี่เฟิ่งว่าตอนอายุสิบเอ็ดปี ใช้ขวานขนาดพกพาจามใส่หัวครูในห้องเรียนเพียงเพราะยึดของเล่นของเขา พอเข้าสู่วัยรุ่นก็ยกพวกตีกันสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวเมืองโฮรุกไม่น้อย แหล่งข่าวยังบอกอีกด้วยว่าสวี่เฟิ่งนำเพื่อนสมัยเรียนที่มาเข้าแก๊งด้วย และด้วยความที่สวี่เฟิ่งเป็นลูกคนเดียวตำแหน่งหัวหน้าแก๊งจึงตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ถัดจากสวี่เฟิ่งคือชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยใส่ชุดสูทไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ปรมัตถ์สังเกตเห็นรอยสักที่อยู่บนแขนและต้นคอ ทำให้เด็กหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะสักเต็มร่างกาย
"หมอนี้คือ สุระ ปลาทอง ลูกชายเพียงคนเดียวของสุธน" สารวัตรชาญฉลาดบอก "ถูกฝากฝังให้เป็นผู้ติดตามคนสนิทของสวี่เฟิ่ง ได้ยินมาว่าสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ติดตามอื่น ๆ ที่สังกัดของสวี่หมิงล่างด้วย"
"ชายฉกรรจ์สองคนนั่นคือนายสุธนกับนายสุทัศน์ใช่ไหม" ผบตร.รูฟีโน่ถามขึ้น
"ใช่ครับ คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สุระคือสุธน ส่วนเจ้ายักษ์ใหญ่นั่นคือสุทัศน์" สารวัตรชาญฉลาดพูด "นอกจากมันสองคนแล้วยังมีอีกคนที่ทางเราไม่ควรมองข้าม" พูดจบก็โชว์ภาพถ่ายของชายหนุ่มอีกคนที่อายุประมาณสามสิบปลาย ๆ ซึ่งกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าร้านผับบาร์แห่งหนึ่ง รอยสักเต็มร่างกายและดูลักษณะใบหน้าของชายคนนี้ เห็นได้ชัดว่าสันดานชั่วร้ายมากน้อยแค่ไหน
"มันชื่อ ภูคำ เป็นญาติห่าง ๆ ของสุธนกับสุทัศน์ เจ้านี้มันเป็นพวกโรคจิตชอบทรมานคน"
สารวัตรชาญฉลาดหันกลับมาที่ผู้เข้าประชุมทั้งหมด พร้อมกับชี้แจ้งว่าบุคคลเหล่านี้คือตัวการสำคัญของแก๊งขวานซิ่ง และยังมีฝีมือประกอบความโหดเหี้ยมไร้ปราณี เรื่องที่จะยอมมอบตัวคงไม่อยู่ในแก่นสมองของพวกมัน ดังนั้นในความเห็นของผบ.ตร.รูฟีโน่คือจับตายดูจะสาสมกับความชั่วร้ายของพวกมันมากที่สุด สำหรับปรมัตถ์และเพื่อนจากทีมอีวิลลอร์ด ฯ อีกสามคน ทางพันเอกหยางเจี้ยนหลงได้ให้เวลาในการเตรียมตัวคือวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ให้มารายงานตัวหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติในตอนเช้ามืด แต่ถึงกระนั้นปรมัตถ์ก็ยังมีคำถามที่ค้างคาอยู่จึงหันมาถามผบ.ของตัวเอง "ท่านผบ.ครับ แล้วฝั่งเมืองเมตน์ในสามหน่วยรบของเรา ใครได้ไปที่นั้นครับ" พันเอกหยางเจี้ยนหลงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่อีกไม่นานก็จะพ้นสภาพยุวชนทหารและกลายเป็นทหารชั้นประทวน พันเอกหยางเจี้ยนหลงทำหน้าครุ่นคิดอยู่สองนาทีก่อนจะตอบคำถามของปรมัตถ์ "มีอยู่สองคนน่ะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ ปาร์คซูโฮ กับ ฮาจองอู.... ว่าแต่นายเถอะ บอม ไหน ๆ นายก็มีเพื่อนในทีมเดียวกันไปทำภารกิจด้วย ทำไมไม่ลองไปทำความรู้จักล่ะ ฉันได้ยินมาว่าสามคนนั่นก็อยู่รุ่นเดียวกับนาย"
ปรมัตถ์ไม่ตอบอะไรมากนอกจากทำความเคารพและกำลังจะเดินออกจากห้อง พันเอกฟางผิงเดินมาหาอีกฝ่ายและพูดกับเด็กหนุ่มว่า "พวกนั่นน่าจะอยู่ที่โรงฝึกทำไมนายไม่ไปแนะนำตัวล่ะ" ปรมัตถ์ที่ได้ยินก็พยักหน้ารับและเดินออกไป หลงเหลือแค่สองคนนั้นคือพันเอกหยางเจี้ยนหลงและตัวพันเอกฟางผิงเอง เพราะทันทีที่การประชุมเลิกกลุ่มพวกสารวัตรชาญฉลาดก็พากันออกไปกันหมด ฝั่งผบ.สามหน่วยรบพิเศษแห่งกองพันฟีนิกซ์ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรตน
"นายจะถามเรื่องหลิวเสี่ยวเสี่ยวใช่ไหม" พันเอกหยางเจี้ยนหลงถาม
"ใช่"
นอกจากเพื่อนในหน่วยรบพิเศษแล้วพันเอกฟางผิงยังมีสหายรบที่ไม่ใช่นักรบฟีนิกซ์ ซึ่งก็คือ ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว และ ร้อยโทกู้เจิ้นหนาน เนื่องจากทั้งสองเป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันเพราะบ้านอยู่ละแวกเดียวกัน ซึ่งพันเอกฟางผิงยอมรับว่าเคยคิดว่าผู้กองหลิวเสี่ยวเสี่ยวน่าจะได้คู่กับ พันเอกฟางเหยียน แฝดพี่ของเขา แต่นั้นมันก็เป็นเรื่องของในอดีตทว่าบัดนี้ตามข้อมูลที่เขาได้รับจากพันเอกหยางเจี้ยนหลงคือ ปัจจุบันผู้กองหลิวเสี่ยวเสี่ยวได้สังกัดอยู่กองรบ 23 ของกองพลทหารจู่โจม 101 ของทัพภาคสาม ไต่เต่าขึ้นมาจนได้กลายเป็นหัวหน้าโดยมีหมวดกู้เจิ้นหนานญาติลูกพี่ลูกน้องเป็นรองหัวหน้า ข่าวนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจให้กับพันเอกฟางผิงเป็นอย่างมาก
"นายได้ข่าวมาจากไหนเนี่ย เจี้ยนหลง" พันเอกฟางผิงถาม
"จากผู้พันกาเวนน่ะ... นายไม่ได้คุยกันเลยหรือ" พันเอกหยางเจี้ยนหลงถาม
"ไม่เลย" พันเอกฟางผิงส่ายหน้า "ตั้งแต่ฉันกับฟางเหยียนมาอยู่กองพันฟีนิกซ์ ก็แทบไม่ได้คุยกันเลย"
"เข้าใจล่ะ แล้วนายคิดว่าเจ้าบอมจะเข้ากับเพื่อนใหม่สามคนนั่นได้ไหม"
พันเอกฟางผิงทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
"ไม่"
+++++++++++++++++++++++++++